สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เตรียมตัวก่อนบวช(สามเณร-ภิกษุ)

เตรียมตัวก่อนบวช(สามเณร-ภิกษุ)

เตรียมตัวก่อนบวช(สามเณร-ภิกษุ)

คำว่า บวช มาจาก คำว่า ป + วช แปลว่า เว้นทั่ว คือเว้นจากกาม ใน
ที่นี้หมายเพียงบวชเป็นสามเณรและบวชเป็นพระภิกษุเท่านั้น

จุดมุ่งหมายในการบวชก็คือการปฏิบัติตนเพื่อรื้อถอนออกจากความทุกข์ และทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน คือความดับทุกข์ อย่างไรก็ตาม การบวชได้แม้เพียงชั่วคราวก็นับว่าดี เพราะนอกจากเป็นการสืบต่อพระพุทธศาสนาแล้ว อย่างน้อยก็ยังเป็นเหตุให้รู้จักฝึกหัดความอดทน และความเสียสละอย่างมาก อาจทำให้เข้าถึงพุทธธรรมได้โดยใกล้ชิด

 
การบวชเป็นสามเณร

สามเณร แปลว่า ผู้เป็นเชื้อสายแห่งสมณะ เมื่อเป็นสามเณรแล้ว
ต้องถือศีล ๑๐ คือ
๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์ทั้งมนุษย์และเดรัจฉาน
๒. เว้นจากการลักทรัพย์
๓. เว้นจากเสพเมถุนธรรม
๔. เว้นจากการพูดเท็จ
๕. เว้นจากการดื่มสุราและเมรัย
๖. เว้นจาการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
๗. เว้นจากการฟ้อนรำขับร้องและการบรรเลง ตลอดถึงการดูการฟังสิ่งเหล่านั้น
๘. เว้นจากการทัดทรงดอกไม้การใช้ของหอมเครื่องประเทืองผิว
๙. เว้นจาการนอนที่สูงใหญ่และยัดนุ่นสำลีอันมีลายวิจิตร
๑๐. เว้นจากการรับเงินทอง
นอกจากนี้ ยังต้องมี ปัจจเวกขณะ คือ การพิจารณา จีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ คิลานเภสัช ตลอดถึงวัตรที่ควรศึกษา อันเกี่ยวด้วยมารยาท คือ เสขิยวัตร อีก ๗๕ ข้อ ด้วย


สถานที่ทำพิธี เป็นกุฎีของพระอุปัชฌาย์ผู้ให้บวชก็ได้ เป็นโรง
อุโบสถก็ได้ มีพระอันดับตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปก็ได้ ไม่มีก็ได้ 

ของใช้ในพิธีคือ

๑. ไตรแบ่ง (สบง ๑ ประคตเอง ๑ อังสะ ๑ จีวร ๑ ผ้ารัด อก ๑ ผ้ากราบ ๑)
๒. จีวร สบง อังสะ (ไตรอาศัยหรือสำรอง) ผ้าอาบ ๒ ผืน
๓. ย่าม ผ้าเช็ดหน้า นาฬิกา
๔. บาตร (มีเชิงรองและฝาพร้อม)
๕. รองเท้า ร่ม
๖. ที่นอน เสื่อ หมอน ผ้าห่ม มุ้ง
๗. จานข้าว ช้อนส้อม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดมือ ปิ่นโต กระโถน
๘. ขันน้ำ สบู่ กล่องสบู่ แปรง ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัว
๙. ธูป เทียน ดอกไม้ สำหรับบูชาพระรัตนตรัย
๑๐. ธูป เทียน ดอกไม้ (หรือจะใช้เทียนแพมีกรวยดอกไม้ก็ใช้ได้)


สำหรับถวายพระอุปัชฌาย์ผู้ให้บวช
และจะมีเครื่องจตุปัจจัยไทยธรรมสำหรับถวายพระอุปัชฌายะและพระในพิธีนั้นอีกองค์ละชุดก็ได้ แล้วแต่กำลังศรัทธา

 


ผู้บวชต้องปลงผม โกนคิ้ว โกนหนวด ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สะอาด
หมดจด ส่วนพิธีการวันบวช มีกล่าวไว้ส่วนหนึ่งแล้ว และข้อสำคัญต้องว่าไตรสรณคมน์ ใช้ชัดถ้อยชัดคำ เพราะความเป็นสามเณรจะสำเร็จได้ก็ด้วยไตรสรณคมน์เท่านั้น นอกจากนั้นก็มี 

 
หัวข้อที่ผู้จะบวชจะต้องจดจำคือ

๑. ให้บิดามารดาหรือผู้ปกครอง พาไปหาเจ้าอาวาสและพระ
อุปัชฌาย์ (ถ้าเจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วยก็ไม่ต้องไป ๒ แห่ง)
๒. ท่องคำขอบวช สรณคมน์ และศีล ๑๐ ให้ได้ด้วยตนเอง
๓. หมั่นฝึกซ้อมพิธี เช่นการกราบ เป็นต้น 

การบวชเป็นพระภิกษุ

ภิกษุ แปลว่า ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เมื่อเป็นพระภิกษุแล้ว ต้อง
ถือศีล ๒๒๗ และต้องรักษาข้อวัตรปฏิบัติอื่น ๆ อีกมาก
การบวชเป็นสามเณรเป็นเบื้องต้นของการบวชเป็นพระภิกษุ กล่าว
คือจะบวชเป็นพระภิกษุได้ก็ต้องบวชเป็นสามเณรก่อน เพราะฉะนั้นกุลบุตรผู้จะบวชเป็นพระภิกษุ จึงจำต้องบวชเป็นสามเณรก่อน ซึ่งมีวิธีการดังที่กล่าวมาแล้ว แม้ผู้เป็นสามเณร ก็จำต้องขอไตรสรณคมน์และศีลใหม่ เพื่อทำให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จึงดำเนินการบวชเป็นพระภิกษุได้ต่อไป แต่ทางที่ดีที่สุดควรของบรรพชาแต่เบื้องต้นไปใหม่ เพราะเมื่อตอนขอบรรพชาเป็นสามเณรได้เว้นคำไว้ ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง ไว้


สถานที่ทำพิธี คือ โรงอุโบสถ ประชุมสงฆ์ ๒๘ รูป มีพระอุปัช-
ฌาย์ ๑ พระกรรมวาจาจารย์ ๑ พระอนุสาวนาจารย์ ๑ (สองรูปหลังนี้เรียกว่าพระคู่สวด) อีก ๒๕ รูป เรียกวาพระอันดับ (๑๐ รูปขึ้นไป ไม่ถึง ๒๕ รูปก็ใช้ได้) 

อัฏฐบริขารและเครื่องใช้อื่น ๆ ที่จำเป็นและควรจัดหา

๑. ไตรครอง (สบง ๑ ประคตเอว ๑ อังสะ ๑ จีวร ๑ สังฆาฏิ ๑ ผ้ารัดอก ๑ ผ้ากราบ ๑ )
๒. บาตร (มีเชิงรองและฝาพร้อม) ถลกบาตร สายโยค ถุง ตะเครียว
๓. มีดโกน พร้อมทั้งหินลับมีดโกน
๔. เข็มเย็บผ้า พร้อมทั้งกล่องเข็มและด้าย
๕. เครื่องกรองน้ำ (ธมกรก)
๖. เสื่อ หมอน ผ้าห่ม มุ้ง
๗. จีวร สบง อังสะ ผ้าอาบ ๒ ผืน (อาศัย)
๘. ตาลปัตร ย่าม ผ้าเช็ดหน้า ร่ม รองเท้า
๙. โคมไฟฟ้า หรือตะเกียง ไฟฉาย นาฬิกาปลุก
๑๐. สำหรับ ปิ่นโต คาว หวาน จานข้าว ช้อนส้อม ผ้าเช็ดมือ
๑๑. ที่ต้มน้ำ กาต้มน้ำ กาชงน้ำร้อน ถ้วยน้ำร้อน เหยือกน้ำ
และแก้วน้ำเย็น กระติกน้ำแข็ง กระติกน้ำร้อน
๑๒. กระโถนบ้วน และโถนถ่าย
๑๓. ขันอาบน้ำ สบู่และกล่องสบู่ แปรงและยาสีฟัน ผ้าขน- หนู กระดาษชำระ
๑๔. สันถัต (อาสนะ)
๑๕. หีบไม้หรือกระเป๋าหนังสำหรับเก็บไตรครอง


๑. ถึง ๕. เป็นสิ่งจำเป็นมาก เรียกว่า อัฏฐบริขาร แปลว่า บริขาร ๘
(มีผ้า ๕ อย่าง คือ สบง ๑ ประคตเอว ๑ จีวร ๑ สังฆาฏิ ๑ ผ้ากรองผ้า ๑ เหล็ก ๓ อย่าง คือบาตร ๑ มีดโกน ๑ เข็มเย็บผ้า ๑) ของนอกนั้นมีความจำเป็นลดน้อยลง แล้วแต่กำลังของเจ้าภาพจะจัดหามาได้อีก


* ไตร วางไว้บนพานแว่นฟ้า บาตร สวมอยู่ในถุงตะเครียว ภายใน
บาตรใส่มีดโกนพร้อมด้วยหินลับมีดโกนเข็มพร้อมทั้งกล่องเข็มและด้าย และเครื่องกรองน้ำ นอกจากนั้นยังนิยมใส่พระเครื่องรางต่าง ๆ ลงในบาตร เพื่อปลุกเสกให้ขลังขึ้นอีกด้วย 

ถ้ามีกระบวนแห่งควรจัดกระบวนดังนี้

๑. การแสดงต่าง ๆ เช่น หัวโต สิงโต ฯ (ถ้ามี)
๒. แตร หรือ เถิดเทิง (ถ้ามี)
๓. ของถวายพระอุปัชฌาย์ คู่สวด
๔. ไตรครอง ซึ่งมารดาของผู้บวชมักจะเป็นผู้อุ้ม (มีสัปทนกั้น)
๕. ผู้บวชพนมมือถือดอกบัว ๓ ดอก ธูป ๓ ดอก เทียน ๒ เล่ม (มีสัปทนกั้น)
๖. บาตร และ ตาลปัตร ซึ่งบิดาของผู้บวชเป็นผู้สะพายและถือ
๗. ของถวายพระอันดับ
๘. บริขารและเครื่องใช้อย่างอื่นของผู้บวช


*ถ้ามีไตรถวายพระอุปัชฌาย์และคู่สวด ก็ต้องมีสัมปทนกั้นอีก ๓ คัน ของถวายพระอุปัฌาย์มีพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือกรวยขอนิสัย ซึ่งภายในกรวยมีหมากพลูหรือเมี่ยงและบุหรี่ นอกนั้นแล้วแต่จะเห็นสมควร ควรจัดของถวายสำหรับพระอุปัชฌาย์เป็นพิเศษ รองลงมาคือคู่สวด รองลงมาอีกคือพระอันดับ


*เมื่อจัดขบวนเรียบร้อยแล้ว ก็เคลื่อนไปสู่หน้าพระอุโบสถ แล้วเวียนขวารอบนอกสีมา ๓ รอบ พร้อมกันเสียง โห่ - ฮิ้ว เป็นระยะ ๆ ไป เวียนครบ๓ รอบ ก็เข้าไปภายในพระอุโบสถทั้งหมด เว้นไว้แต่การแสดงต่าง ๆ เช่น แตร หรือเถิดเทิง ส่วนผู้จะบวชก่อนจะเข้าโบสถ์ต้องวันทาเสมาหน้าพระอุโบสถเสียก่อน ว่า วันทามิ อาราเม พัทธะเสมายัง โพธิรุกขัง เจติยัง สัพพะเม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต ฯ 

คำวันทาเสมา (อีกแบบหนึ่ง)

อุกาสะ วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง สามินา กะตัง ปุญญัง
มัยหัง ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ ฯ


สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ
กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต ฯ อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ

วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต มะยา
กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง
ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ ฯ

*เสร็จแล้วโปรยทาน แล้วเข้าสู่พระอุโบสถได้ โดยมารดาบิดาหรือญาติผู้ใหญ่หรือเจ้าภาพจูงประกอบด้วยญาติและมิตรเป็นผู้เกาะต่อ ๆ กัน ครั้นแล้วผู้บวชจึงไปวันทาพระประธานในพระอุโบสถด้านข้างพระหัตถ์ขวา แล้วมารับไตรครองจากมารดาบิดาหรือญาติผู้ใหญ่หรือเจ้าภาพ ต่อจากนั้นจึงเริ่มพิธีการบวชตามหลักพระธรรมวินัยต่อไป

*เมื่อบวชเป็นสามเณรเสร็จแล้ว บิดาต้องคอยประเคนบาตรแก่สามเณรนั้น ขณะที่พระคู่สวดกำลังสวดญัตติจตุตถกรรมวาจา ห้ามมิให้อนุป-สัมบัน (ผู้ที่มิใช่พระภิกษุ) เข้าใกล้อาสน์สงฆ์ ๑ ศอก ทางที่ดีควรสงบอยู่กับที่ ภายหลังจากบวชเป็นพระภิกษุเสร็จแล้ว เจ้าภาพและญาติมิตรจึงถวายอัฏฐบริขารและเครื่องใช้อื่น ๆ ที่สมควรแก่สมณะ แก่พระบวชใหม่ต่อไปเสร็จแล้วพระบวชใหม่กรวดน้ำ เป็นเสร็จพิธี

ข้อสำคัญที่ควรจดจำไว้ก็คือ

๑. มารดาบิดา หรือญาติผู้ใหญ่หรือเจ้าภาพ พร้อมผู้จะบวช
ต้องไปติดต่อกับเจ้าอาวาสที่ตนจะบวชอยู่ และพระอุปัชฌาย์แต่เนิ่น ๆ
(ถ้าเจ้าอาวาสเป็นอุปัชฌาย์ด้วยก็ไม่ต้องไปติดต่อ ๒ แห่ง)


๒. ผู้จะบวช เรียกกันว่า อุปสัมปทาเปกข์ หรือ นาค หรือ
นักบวช ต้องท่องคำบาลี ซึ่งเรียกกันว่า ขานนาค ให้ได้คล่องแคล่ว
ชัดถ้อยชัดคำ


๓. หมั่นฝึกซ้อมกับพระอุปัชฌาย์หรืออาจารย์ ในเรื่องระเบียบ
ต่าง ๆ อันเนื่องในการนี้ให้คล่อง มิให้เคอะเขินในเวลาเข้าพิธี


หมายเหตุ ในการบวชนี้ บางคนนิยมมีพิธีทำขวัญนาคก่อนวันบวช
๑ วัน หรือทำในวันนั้น คือทำขวัญเช้าบวชบ่าย การทำขวัญก็เพื่อให้เจ้านาครู้จักคุณมารดาบิดา และมีใจศรัทธาซาบซึ้งในการบวชขึ้นอีก ในการนี้จะต้องมีของอีกหลายอย่าง เช่น บายศรี แว่นเวียนเทียน ฆ้อง ธูปเทียนตามแบบของหมอทำขวัญ การทำขวัญก็ดี แม้การแสดงต่าง ๆ ตลอดถึงแตร เถิดเทิงก็ดีบางคนก็ไม่นิยม ชอบเงียบ ๆ ตรงไปเดินเวียนโบสถ์เข้าโบสถ์เฉย ๆ ทั้งนี้แล้วแต่อัธยาศัย ส่วนการแต่งตัวเจ้านาค มักใช้ชุดขาว นุ่งแบบผ้าถุงจีบอังสะขาว บางทีก็มีเสื้อขาวแขนยาว แล้วสวมเสื้อครุยทับ


เมื่อบวชแล้วมักมีการฉลองพระใหม่ ถ้าบวชเช้าก็ฉลองเพล ถ้าบวช
บ่ายก็ฉลองวันรุ่งขึ้นหรือจะเลื่ยนไปฉลองในวันต่อ ๆ ไปก็ได้ ตามความ
สะดวกของเจ้าภาพ

 

การโกนผมนาค
 

           เมื่อได้เวลาตามที่กำหนดไว้  นาคและญาติพร้อมกัน ณ สถานที่ๆ กำหนดไว้   พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ขลิบผมให้นาคเป็นปฐม จากนั้นพระสงฆ์ปลงผมให้นาค  แต่งชุดนาค  ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติโดยทั่วไป ผมที่โกนแล้วนิยมห่อด้วยใบบัวแล้วนำไปลอยน้ำที่แม่น้ำหรือวางไว้ใต้ร่มโพธิ์   เชื่อว่าจะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข   การปลงผมจะปลงที่บ้านหรือที่วัดก็ได้แล้วแต่ความสะดวก   แต่วิธีปฏิบัติโดยทั่วไปนิยมปลงผมที่วัด  นอกจากญาติที่มาร่วมงานจะได้มีโอกาสร่วมพิธีตัดผมนาคแล้วยังเป็นการประหยัดเวลาของเจ้าภาพและแขกที่มาร่วมงานอีกด้วย เมื่อปลงผมเสร็จจะได้ทำประทักษิณเวียนรอบสีมา และเข้าโบสถ์ประกอบพิธีอุปสมบทต่อไป  อุปกรณ์ที่ใช้ในการปลงผมมี  ดังนี้

              ๏  กรรไกรตัดผม

              ๏  ด้ามมีดโกน พร้อมทั้งใบมีดโกน

              ๏  สบู่ หรือ ยาสระผม

              ๏  ใบบัวสำหรับรองผม หรือวัสดุอย่างอื่นที่ใช้แทนได้

              ๏  ผ้าเช็ดตัว

            โดยมาก  อุปกรณ์ที่ใช้ในการโกนผม เฉพาะด้ามมีดโกนและใบมีดโกน พระสงฆ์ที่ทำหน้าในการโกนผมจะเตรียมให้เอง

 


การแต่งตัวนาค 

             หลังจากปลงผมเสร็จแล้ว ประเพณีนิยมบางท้องถิ่นจะลูบไล้ด้วยของหอมทาด้วยขมิ้นโดยเชื่อว่าจะได้ดับกลิ่นฆราวาส   แต่วิธีปฏิบัติโดยทั่วไปไม่นิยมเพราะจะทำให้ดูไม่เรียบร้อย  หรือหากจะทาก็ไม่ควรให้แป้งหรือขมิ้นติดเกรอะกรังจนดูไม่เรียบร้อย  สมัยก่อนการใช้ขมิ้นทาศีรษะหลังโกนผม  มีสาเหตุมาจากมีดที่ใช้โกนผมเป็นมีดผมเดียวที่ลับด้วยมือ เวลาโกนจึงอาจทำให้เกิดบาดแผลบ้าง   หลังโกนผมจึงต้องใช้ขมิ้นทาศีรษะ เพื่อห้ามเลือดและสมานแผล 

ในสมัยปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่จึงทำใบมีดมีความคมมากขึ้น  และพระสงฆ์ที่โกนผมก็มีความชำนาญ  จนแทบไม่มีรอยบาดแผล  จึงไม่มีความจำเป็จะต้องทาแป้งหรือขมิ้นเหมือนสมัยก่อน

             การแต่งตัวนาค  ควรแต่งด้วยชุดขาวอันบ่งบอกถึงความสะอาดบริสุทธิ์ ในกรณีมีสีอย่างอื่นก็สามารถใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้สีขาวเสมอไป  ให้ดูสิ่งที่จัดหาได้ง่ายตามความเหมาะสม และความนิยมของท้องถิ่นนั้นๆ  ที่สำคัญคือต้องประหยัด  การแต่งตัวนาค ไม่ควรมีเครื่องประดับประดามากจนเกินไป   ขอแนะนำเครื่องแต่งตัวนาคตามประเพณีนิยม  ดังนี้

            ๏ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว

            ๏ สบงขาว

            ๏  อังสะขาว

            ๏  เข็มขัด หรือสายรัดสำหรับรัดสบง

            ๏    เสื้อคลุมนาค

            ๏ หากมีสร้อยคอจะสวมให้นาคก็ได้  แต่ไม่ควรคล้องพวงมาลัย          เพราะแทนที่จะเป็นนาคก็จะกลายเป็นนักร้องไป   

           เข็มขัดสำหรับรัดสบงขาว  นิยมใช้เข็มขัดนาค  ในกรณีที่ไม่มีเข็มขัดนาคจะใช้เข็มขัดอย่างอื่นหรือสายรัดก็ได้  ไม่ใช่ข้อกำหนดตายตัว การใช้เข็มขัดนาคเป็นการปฏิบัติตามประเพณีนิยม เพื่อให้สอดคล้องกับคำว่า  "นาค"  ซึ่งเป็นชื่อเรียกกุลบุตรผู้จะบวชในพระพุทธศาสนาเท่านั้น  ไม่ได้มีนัยที่มุ่งหมายเป็นอย่างอื่น

 

 

 การทำประทักษิณ(เดินเวียนขวารอบสีมา) 

             การทำประทักษิณในทางพระพุทธศาสนา คือ การกระทำที่สุจริตถูกต้องชอบธรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ การหมุนไปทางขวาคือการหมุนไปสู่ความดีทั้งทางกาย วาจา และใจ ตรงกันข้ามกับการหมุนไปด้านซ้ายเป็นการหมุนทวนความดี คือ การกระทำที่เป็นทุจริตทางกาย วา และใจ

             การทำประทักษิณเวียนขวารอบสีมาก่อนเข้าโบสถ์บวชเป็นพระภิกษุ  นอกจากจะเป็นการแสดงความเคารพตามธรรมเนียมโบราณแล้ว ยังเป็นอุบายที่คนโบราณสอนให้รู้ว่า  สิ่งที่จะทำต่อไปนี้เป็นการกระทำที่สุจริตถูกต้องชอบธรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ 

              นอกจากนั้น การทำประทักษิณก่อนเข้าสู่พิธีอุปสมบท  ยังเป็นช่วงเวลาให้นาคได้มีโอกาสทำสมาธิรวบรวมจิตใจไม่ให้ตกประหม่าตื่นเต้นจนเกินเหตุ ญาติของนาคจึงไม่ควรส่งเสียงหรือโห่ร้อง ร้องรำทำเพลง ประโคมดนตรีอันจะเป็นการรบกวนสมาธิของนาค

              การทำประทักษิณเวียนขวารอบสีมาเป็นการแสดงความเคารพ เพื่อให้ผู้บวชก้าวไปสู่ความดีงาม  จึงไม่ควรให้นาคขี่คอ  ขึ้นคานหาม หรือแบกหามซึ่งจะดูไม่เรียบร้อย หากพลัดตกลงมาอาจเป็นอันตรายจนถึงบวชไม่ได้  จึงควรให้นาคเดินตามปกติ

              คติเกี่ยวกับการให้นาคขี่คอ สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าพระพุทธเจ้าออกผนวชด้วยการขี่ม้ากัณฑกะ   จนได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  เที่ยวสั่งสอนเวไนยสัตว์   ในสมัยต่อมาผู้ที่จะบวชจึงนิยมขี่ม้าแห่แหนกันอย่างเอิกเกริกก่อนเข้าโบสถ์ประกอบพิธีอุปสมบท 

            แต่เนื่องจากบางท้องถิ่นหาม้าได้ไม่ง่าย  จึงให้นาคขี่คอคนแทนม้า   บางแห่งให้นาคนั่งบนเตียงที่มีคนหามแทนการขี่คอ  จึงกลายเป็นประเพณีที่ยอมรับสืบทอดกันอย่างกว้างขวาง  ว่าผู้ที่จะบวชต้องขี่คอ   เสมือนหนึ่งพระพุทธองค์ขี่ม้าออกผนวช 

             เนื่องจากการเดินเวียนขวารอบสีมาเป็นการแสดงความเคารพตามธรรมเนียมโบราณ จะใช้เฉพาะกรณีที่ต้องการแสดงความเคารพเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น   ผู้บวชจึงต้องให้ความสำคัญอย่างมาก

ข้อปฏิบัติที่เหมาะสมเกี่ยวกับการเดินปทักษิณเวียนขวารอบสีมาควรปฏิบัติ  ดังนี้

             เมื่อแต่งชุดนาคเสร็จแล้ว  ให้นาคประณมมือโดยมีดอกไม้ที่เตรียมไว้อยู่ในมือเดินทำปทักษิณ(๑) (เวียนขวา) รอบพระอุโบสถ ๓ รอบ จะมีผู้กั้นสัปทนให้นาคก็ได้ การทำปทักษิณให้เริ่มต้นจากสีมาตรงกลางด้านหน้าอุโบสถ (เริ่มจากสีมาที่จะวันทา) ส่วนญาติๆ ถือบริขารพร้อมทั้งเครื่องไทยทานที่จัดเตรียมไว้

              ตามความนิยมโดยทั่วไปบิดาสะพายบาตรถือตาลปัตร ส่วนมารดาถือพานแว่นฟ้าสำหรับใส่ผ้าไตรครองเดินตามหลังนาค แถวถัดมาเป็นธูปเทียนแพ เครื่องไทยทานสำหรับพระอุปัชฌาย์และพระคู่สวด และเครื่องบริขารอย่างอื่นโดยลำดับ ในขณะเดินให้นาคสวดบทพุทธคุณ  ธรรมคุณ สังฆคุณ ดังนี้  "อิติปิโส   ภะคะวา อะระหัง  สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต  โลกะวิทู อะนุตตะโร  ปุริสะทัมมะสาระถิ  สัตถา  เทวะมะนุสสานัง   พุทโธ   ภะคะวาติ ฯลฯ" หรือจะภาวนา "พุทโธๆ" ตามจังหวะเท้าที่ก้าวย่างก็ได้

             การเดินเวียนขวารอบอุโบสถเป็นการแสดงความเคารพตามธรรมเนียมโบราณ ญาติที่มาร่วมพิธีจึงไม่ควรโห่ หรือส่งเสียงเอิกเกริกเฮฮา เหมือนงานรื่นเริงอื่นๆ ควรอยู่ในอาการสำรวมกาย วาจา และใจ ไม่ควรมีการแสดงการละเล่นใดๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการแสดงความเคารพต่อสถานที่แล้ว  ยังไม่เป็นการรบกวนสมาธิของนาคอีกด้วย

เมื่อเดินครบ ๓ รอบแล้ว นาคต้องวันทาสีมาหน้าอุโบสถก่อนเข้าไปในเขตสีมา โดยเริ่มต้นตามขั้นตอนการวันทา   ต่อไปนี้

               นาควางดอกไม้เครื่องสักการะไว้บนพานที่เตรียมไว้ บางแห่งให้จุดธูปเทียนด้วย  แต่โดยมากนิยมให้ดอกไม้ธูปเทียนไว้บนพานหรืออุปกรณ์อย่างอื่นที่จัดเตรียมไว้ โดยมากไม่จุดธูปเทียน นาคกราบสีมา ๓ หน แล้วยืนขึ้นว่า 

คำวันทาสีมา

              อุกาสะ  วันทามิ  ภันเต // สัพพัง   อะปะราธัง  ขะมะถะ  เม  ภันเต// มะยา  กะตัง ปุญญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง// สามินา  กะตัง  ปุญญัง  มัยหัง  ทาตัพพัง// สาธุ/ สาธุ/ อนุโมทามิ ฯ

คำแปล

              ขอโอกาสขอรับ  กระผมขอกราบไหว้   ท่านขอรับ  ขอท่าน  จงยกโทษที่ได้ล่วงเกินทั้งปวงให้กระผมด้วย ขอท่านโปรดอนุโมทนาบุญที่กระผมได้กระทำ  และขอท่านโปรดให้บุญที่ท่านได้ทำแก่กระผมด้วย   สาธุ  สาธุ   กระผมขออนุโมทนา 

นั่งคุกเข่าประณมมือว่า

สัพพัง  อะปะราธัง  ขะมะถะ  เม  ภันเต  //  อุกาสะ  ทะวารัตตะเยนะ  กะตัง  /  สัพพัง  อะปะราธัง  ขะมะถะ เม ภันเต ฯ 

คำแปล

             ท่านขอรับ ขอท่านโปรดยกโทษที่ได้ล่วงเกินทั้งปวงให้กระผมด้วย  ท่านขอรับ ขอท่านโปรดยกโทษที่ได้ล่วงเกินทั้งปวง  ที่กระผมได้ทำทางทวารทั้ง ๓  ทาง (คือ กาย วาจา และใจ) 

กราบ ๑ หน แล้วยืนขึ้นว่า

              วันทามิ  ภันเต  // สัพพัง  อะปะราธัง ขะมะถะ  เม  ภันเต  //  มะยา  กะตัง  ปุญญัง  สามินา  อนุโมทิตัพพัง//  สามินา  กะตัง ปุญญัง  มัยหัง ทาตัพพัง//  สาธุ /  สาธุ/  อนุโมทามิ  ฯ

คำแปล

              ท่านขอรับ  กระผมขอกราบไหว้   ขอท่านโปรดยกโทษที่ได้ล่วงเกินทั้งปวงให้กระผมด้วย   ขอท่านโปรดอนุโมทนาบุญที่กระผมได้กระทำ  และขอท่านโปรดให้บุญที่ท่านได้ทำแก่กระผมด้วย   สาธุ  สาธุ   กระผมขออนุโมทนา 

              นาคนั่งคุกเข่ากราบ ๓ หน จากนั้นเข้าไปภายในพระอุโบสถ ในขณะเข้าประตูโบสถ์ไม่ควรยกนาคข้ามธรณีประตู หรือยกขึ้นเพื่อเอามือแตะคานประตู  ตามที่นิยมปฏิบัติกันโดยขาดความเข้าใจ เพราะอาจพลัดตกลงมาแขนขาหักได้   ให้นาคเดินเข้าโบสถ์ตามปกติ  โดยบิดามารดาและญาติจะแตะที่ตัวนาคตามเข้าไปก็ได้________________________________

(๑) เดินเวียนขวา  หมายถึง ขวามือพระประธาน ไม่ใช่ขวามือของนาค

 

 

การโปรยทาน
             การโปรยทาน หมายถึง การสละเงินทองทรัพย์สมบัติเป็นทานแก่ผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน โดยถือคติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสละราชย์สมบัติออกผนวช ไม่ปรารถนาแม้ความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน การโปรยทานก่อนเข้าโบสถ์เป็นการแสดงว่าต่อจากนี้ไปนาคได้สละสมบัติทุกอย่างแล้ว เพื่อดำเนินชีวิตตามแบบอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  นอกจากนั้น การโปรยทานยังเป็นการสอนคนให้รู้จักเสียสละโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น

            การโปรยทานนั้นจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ไม่ใช่ข้อกำหนดตายตัว เนื่องจากไม่ใช่พิธีที่เกี่ยวเนื่องกับการบวช  ถึงไม่มีการโปรยทานก็บวชสำเร็จเป็นพระได้

            ดังนั้น วัดใหญ่ๆ บางวัด ที่มีแบบแผนและเป็นหลักในการประกอบพิธีบวช จึงไม่นิยมให้มีการโปรยทาน  เพราะการโปรยทานไม่เกี่ยวเนื่องกับพิธีบวช โดยจะยึดเอาขั้นตอนและพิธีบวชเป็นหลัก  พิธีกรรมใดไม่เกี่ยวเนื่องกับขั้นตอนการบวชก็จะไม่ให้มี เพราะจะทำให้เกิดความไม่เรียบร้อย  เกิดเสียงเอิกเกริกเฮฮา  อันเป็นการแสดงความไม่เคารพต่อสถานที่

             เจ้าภาพจึงควรปรึกษากับพระสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพิธีการบวชให้เข้าใจว่า วัดนั้นโปรยทานได้หรือไม่ เพราะเมื่อเตรียมของสำหรับโปรยทานมาแล้ว พอถึงเวลาปรากฏว่าทางวัดไม่อนุญาต จะได้ไม่รู้สึกเกิดความไม่สบายใจ  หรือถ้าเจ้าภาพเตรียมมาแล้ว  หากท่านไม่อนุญาตให้โปรยทาน จะถวายเป็นค่าน้ำค่าไฟที่วัดก็เห็นจะเป็นประโยชน์มากกว่า

 

กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล 

            การกรวดน้ำรับพร เมื่อประธานสงฆ์สวด ยะถาฯลฯ ให้เริ่มรินน้ำ พร้อมกับนึกแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล พอพระสวดขึ้นพร้อมกันหมดทุกรูปให้รินน้ำลงให้หมด เสร็จแล้วประนมมือฟังพระสวดไปจนจบ

           ในการกรวดน้ำ ควรประครองที่กรวดน้ำด้วยมือทั้งสอง  ไม่ควรใช้นิ้วรองน้ำ  ควรปล่อยให้น้ำไหลลงตามธรรมชาติ ให้ตั้งใจแผ่ส่วนบุญกุศล โดยนึกถึงบรรพบุรุษทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายบิดามาดา ปู่ย่า ตายายตลอดจนหมู่ญาติ เรื่อยมาโดยลำดับจนถึงมารดาบิดาแม้ยังมีชีวิตอยู่ก็ให้ท่านได้รับอานิสงส์แห่งการบวช และขอให้ท่านได้มีความสุข  มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง นึกถึงครูบาอาจารย์ทั้งในชาตินี้และในอดีตชาติ

            นึกถึงเทวาอารักษ์พระภูมิเจ้าที่ทั้งหลาย แม้มองไม่เห็นตัวก็ขอให้ได้รับบุญกุศลด้วยนึกถึงผู้มีเวรทั้งหลาย  ทั้งที่เราเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับเขาไว้ และที่เขาเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับเราไว้ แผ่กว้างออกไปตลอกจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย จงเป็นผู้มีส่วนในอานิสงส์แห่งการบรรพชาอุปสมบทของเราเสมอกันถ้วนทุกคน 

ที่มาจากหนังสือ ลูกผู้ชายต้องบวช ผู้แต่ง ญาณวชิระ

http://www.dhammajak.net/suadmon1/27.html

Tags : เตรียมตัวก่อนบวช(สามเณร-ภิกษุ)

view