เริ่มขั้นตอนการบรรพชา (บวชสามเณร) |
อุกาสะ วันทามิ ภันเต // สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต // มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง // สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง // สาธุ / สาธุ / อนุโมทามิฯ อุกาสะ การุญญัง กัตะวา / ปัพพัชชัง เทถะ เม ภันเตฯ คำแปล ขอโอกาสขอรับ กระผมขอกราบไหว้ ขอท่านโปรดยกโทษที่ได้ล่วงเกินทั้งปวงให้กระผมด้วย ขอท่านโปรดอนุโมทนาบุญที่กระผมได้กระทำ และขอท่านโปรดให้บุญที่ท่านได้ทำแก่กระผมด้วย สาธุ สาธุ กระผมขออนุโมทนาฯ กระผมขอโอกาส เมื่อท่านมีความกรุณาแล้ว จงบวชให้ผมด้วยขอรับฯ นั่งคุกเข่า ประณมมือว่า อะหัง ภันเต ปัพพัชชัง ยาจามิ // ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต ปัพพัชชัง ยาจามิ // ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต ปัพพัชชัง ยาจามิ คำแปล ท่านขอรับ กระผมขอบรรพชา ท่านขอรับ แม้ครั้งที่สอง กระผมขอบรรพชา แม้ครั้งที่สาม กระผมขอบรรพชา (ว่าต่อ) สัพพะทุกขะนิสสะระณะ / นิพพานะสัจฉิกะระณัตถายะ // อิมัง กาสาวัง คะเหตะวา // ปัพพาเชถะ มัง ภันเต // อนุกัมปัง อุปาทายะ (ว่า ๓ รอบ) ครบ ๓ รอบแล้วแล้วส่งผ้าไตรให้พระอุปัชฌาย์ คำแปล ท่านขอรับ ขอท่านจงอนุเคราะห์รับผ้ากาสาวพัสตร์นี้ บวชให้กระผมด้วยเถิด เพื่อให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง กระทำพระนิพพานให้แจ้ง คำแปล ท่านขอรับ ขอท่านจงอนุเคราะห์คืนผ้ากาสาวพัสตร์นี้ บวชให้กระผมด้วยเถิด เพื่อให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง กระทำพระนิพพานให้แจ้ง จากนั้น นาคโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ พระอุปัชฌาย์คล้องผ้าอังสะให้ จากนั้นนั่งพับเพียบลงประณมมือ ตั้งใจฟังโอวาทของพระอุปัชฌาย์ ในที่นี้จะขอนำคำกล่าวสอนนาคตามนัยเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร มาเป็นตัวอย่าง ดังนี้ "ขอให้ตั้งใจให้ดี ต่อไปนี้จะได้บวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา การบวชเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นความดี เมื่อเกิดเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นความดีแล้ว นอกจากจะได้ส่วนตัว ยังจะเป็นบุญ เป็นกุศล ไปถึงมารดาบิดาผู้มีพระคุณเป็นต้นอีกด้วย เมื่อบุญกุศลไปถึงแก่ท่าน ก็ชื่อว่าเป็นการตอบแทนพระคุณของท่าน โบราณจึงกล่าวว่า การบวชเป็นการตอบแทนพระคุณของมารดาบิดา และเมื่อบวชไปแล้วปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ชื่อว่าเป็นการทำชีวิตของผู้บวชนั่นเองให้ดีตามไปด้วย จึงขอให้ตั้งใจให้ดีตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป การบวชนั้นต้องทำตามแบบอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ ในเบื้องต้นท่านได้นำผ้ากาสาวพัสเข้ามา กล่าวคำขอบรรพชาว่า อหัง ภันเต ปัพพชัง ยาจามิ" แปลว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมขอบรรพชา หมายถึงการบรรพชาเป็นสามเณร ก่อนที่จะอุปสมบทบวชเป็นพระ การบวชเป็นสามเณรจะสำเร็จได้ต้องอาศัยคุณสมบัติ ๒ ประการ คือ มีความเข้าใจในพระรัตนตรัยและมีความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า เมื่อมีคุณสมบัติ ๒ ประการนี้แล้ว เปล่งวาจารับไตรสรณคมน์ จบวาระที่ ๓ ก็สำเร็จเป็นสามเณร เป็นเณรก็ดี เป็นพระก็ดี จะต้องรักษาข้อปฏิบัติซึ่งมีอยู่มาก จะรักษาได้ก็ต้องอาศัยใจ ใจต้องดีใจจะดีได้ต้องอาศัยการฝึกหัด เพราะฉะนั้น ผู้บวชใหม่จึงนิยมให้เรียนพระกัมมัฏฐาน มีบทภาวนา ๕ ประการ ขอให้ว่าตามดังต่อไปนี้" จากนั้นกลับเข้าไปหาพระคู่สวด รับธูปเทียนแพเครื่องสักการะจากบิดามารดาถวายพระกรรมวาจาจารย์ (พระคู่สวด) กราบ ๓ หน ประณมมือยืนขึ้นเปล่งวาจาว่า อุกาสะ วันทามิ ภันเต // สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต // มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง // สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง // สาธุ / สาธุ / อนุโมทามิ ฯ อุกาสะ การุญญัง กัตะวา / ติสะระเณนะ สะหะ สีลานิ เทถะ เม ภันเต ฯ คำแปล ขอโอกาสขอรับ กระผมขอกราบไหว้ ท่านขอรับ ขอท่าน จงยกโทษที่ได้ล่วงเกินทั้งปวงให้กระผมด้วย ขอท่านพึงอนุโมทนาบุญที่กระผมได้กระทำ และขอท่านพึงให้บุญที่ท่านได้ทำแก่กระผมด้วย สาธุ สาธุ กระผมขออนุโมทนาฯ ท่านผู้เจริญ ขอโอกาส ขอท่านจงมีความกรุณาให้ศีลพร้อมทั้งสรณะ แก่กระผมด้วยขอรับฯ นั่งคุกเข่า ประณมมือขอสรณะและศีลว่า อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ // ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ // ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิฯ คำแปล ท่านขอรับ กระผมขอสรณะและศีล ท่านขอรับ แม้ครั้งที่สอง ฯลฯฯ แม้ครั้งที่สาม กระผมขอสรณะและศีลฯ นะโม ตัสสะ // ภะคะวะโต // อะระหะโต // สัมมา // สัมพุทธัสสะ ( นาคว่าตาม ๓ จบ) คำแปล จากนั้น พระกรรมวาจาจารย์เริ่มให้สรณคมน์ การให้สรณคมน์มี ๒ แบบ นาคว่าตามทีละวรรคไปจนจบทั้ง ๒ แบบ ดังนี้ แบบที่ ๑ เสียงแบบสันษกฤต // สังฆัม// สะระณัม // คัจฉามิ// ทุติยัมปิ// พุทธัม// สะระณัม// คัจฉามิ// ทุติยัมปิ// ธัมมัม// สะระณัม// คัจฉามิ // ทุติยัมปิ// สังฆัม// สะระณัม// คัจฉามิ// ตะติยัมปิ// พุทธัม// สะระณัม// คัจฉามิ// ตะติยัมปิ// ธัมมัม// สะระณัม// คัจฉามิ// ตะติยัมปิ// สังฆัม// สะระณัม// คัจฉามิ แบบที่ ๒ เสียงแบบบาลี พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ// ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ// สังฆังสะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ// ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ// ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ// ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ// ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ// ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ คำแปล พระอาจารย์กล่าวว่า " ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง" คำแปล การถึงสรณะ ๓ จบลงแล้ว นาคตอบรับว่า อามะ ภันเต // คำแปล ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ครับผม ความเข้าใจเรื่อง ไตรสรณคมน์ พระพุทธศาสนามีที่พึ่งอันสูงสุดเรียกว่า ไตรสรณะ แปลว่า ที่พึ่ง ๓ ประการ หมายเอาพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไตรสรณะเป็นที่พึ่งอันสูงสุดเพราะที่พึ่งอื่นไม่สามารถช่วยดับความกระวนกระวายเร่าร้อนด้วยอำนาจกิลเลสได้ แต่ไตรสรณะสามารถดับความกระวนกระวายเร่าร้อน ทำให้พ้นทุกข์ทั้งมวลได้ ความเป็นสามเณรสำเร็จได้ด้วยการเปล่งวาจาขอถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะจบวาระที่ ๓ ก็สำเร็จเป็นสามเณรได้ การให้ไตรสรณะสมัยก่อนนั้นท่านให้ ๒ แบบ คือ ทั้งแบบสันษกฤต และแบบบาลี เนื่องจากผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรได้ต้องสามารถเปล่งวาจาขอถึงพระรัตนตรัยได้อย่างถูกต้อง จึงจะสำเร็จเป็นสามเณรได้อย่างสมบูรณ์ หากไม่สามารถเปล่งวาจาขอถึงพระรัตนตรัยได้ ก็เป็นสามเณรไม่ได้ ผู้ที่จะสามารถเปล่งภาษาได้ถูกต้องและเข้าใจความหมายก็ต้องโตพอที่จะรู้ภาษาแล้ว การกำหนดอายุของผู้บวชสามเณรจึงกำหนดเอาเด็กสามารถพูดและเข้าใจความหมายของคำพูดได้ ท่านกล่าวว่าสามารถไล่กาและไก่ได้ คือ ผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรต้องรู้และเข้าใจภาษาจนสามารถแยกแยะออกว่าอะไรเป็นกาอะไรเป็นไก่ เนื่องจากสมัยก่อนคนไทยนับถือพระพุทธศาสนาทั้ง ๒ แบบ คือทั้งแบบมหายาน และเถรวาท มหายานใช้ภาษาสันษกฤตบันทึกและเผยแผ่คำสอน ส่วนเถรวาทใช้ภาษาบาลีบันทึกคำสอน ทั้งสันษกฤตและบาลีมีวิธีออกเสียงที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นการป้องกันการเปล่งวาจาเพื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยคลาดเคลื่อน อันจะเป็นเหตุให้การบวชสามเณรไม่สมบูรณ์ บุรพาจารย์จึงให้สวดไตรสรณคมน์ทั้งสองแบบ คือ ทั้งแบบสันษกฤษและแบบบาลีควบคู่กันไป ในกรณีการเปล่งเสียงไม่ถูกตามหลักภาษาเพราะสำเนียงของชนชาติตน ไม่ได้หมายความว่าผู้บวชจะไม่เป็นพระเป็นเณร ความเป็นจริงแล้ว แม้จะเปล่งวาจาไม่ตรงตามหลักภาษา การบวชก็เป็นอันสมบูรณ์เพราะเจตนาต้องการกล่าวอย่างนั้น และหมู่สงฆ์ก็เข้าใจความมุ่งหมาย แต่สำเนียงผิดเพี้ยนไปบ้างตามสำเนียงของชนชาตินั้นๆ การที่สำเนียงผิดเพี้ยนไปไม่ได้หมายความว่าผู้บวชจะไม่ได้เป็นพระเป็นสามเณร เนื่องจากสำเนียงของชนชาติใดก็เป็นที่เข้าใจของชนชาตินั้น การเปล่งคำขอบวชก็เปล่งตามสำเนียงชนชาติของตน ๆ ถ้าความคิดที่ว่าผู้ขอบวชเปล่งสำเนียงไตรสรณคมน์หรือคำขานนาคไม่ถูกต้องตามหลักภาษา จะทำให้ผู้บวชไม่เป็นพระเป็นสามเณร ชาวฝรั่ง เขมร พม่า ลาว หรือแม้กระทั่งไทยเองบวชพระก็ไม่เป็นพระ เพราะทุกชนชาติที่กล่าวมานี้อ่านภาษาบาลีผิดเพี้ยนไม่เหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ เสียงภาษาบาลีเป็นอย่างไร ต่างก็ออกสำเนียงตามภาษาของชนชาติตน ถึงอย่างนั้น ก็เป็นที่เข้าใจความหมายของคำนั้นๆ ได้ ในปัจจุบันได้ตัดการให้สรณคมน์แบบสันษกฤตออก เพราะเหตุผลตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากนั้น การให้สรณคมน์ทั้ง ๒ แบบยาวเกินความจำเป็น จึงยังคงไว้แต่การให้สรณคมน์แบบบาลีอย่างเดียว เราจะพบเห็นในการบำเพ็ญบุญในโอกาสต่างๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ยังมีวัดบางแห่งที่ยังคงใช้วิธีบรรพชาอุปสมบทแบบโบราณอยู่ตราบปัจจุบัน การให้ไตรสรณคมน์ก็ยังให้ทั้งแบบสันษกฤตและบาลี มิใช่เพราะกลัวว่าผู้บวชจะไม่เป็นพระเป็นสาเณร แต่เพื่อเป็นการรักษาตันติประเพณีแบบแผนการอุปสมบทแบบเดิมเอาไว้ เนื่องจากหากต่างคนต่างคิดที่จะตัดออกตามมติของตน ในอนาคตอาจไม่หลงเหลือร่องรอยการอุปสมบทแบบดั้งเดิมให้เห็นเลย สามเณรสมาทานศีล ๑๐ ข้อ ต่อจากการให้ไตรสรณคมน์แล้ว พระกรรมวาจาจารย์กล่าวนำให้สามเณรสมาทานสิกขาบท คือ ข้อปฏิบัติสำหรับสามเณร ๑๐ ประการ ว่าตามทีละข้อ ดังนี้
ข้อที่ ๑ ปาณาติปาตา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ข้อที่ ๒ อะทินนาทานา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการลักทรัพย์ ข้อที่ ๓ อะพรัหมะจะริยา เวระมณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิฯ คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์ ข้อที่ ๔ มุสาวาทา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามฯ พูดเท็จ ข้อที่ ๕ สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย ข้อที่ ๖ วิกาละโภชะนา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้วจนถึงรุ่งอรุณขึ้นมาใหม่ ข้อที่ ๗ นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการร้องรำขับร้องประโคมดนตรีและดูและละเล่น ข้อที่ ๘ มาลาคันธะวิเลปะนะทาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฎฐานา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการลูบไล้ทาด้วยของหอม ประดับประดาเครื่องแต่งกาย ข้อที่ ๙ อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการนอนบนที่นอนสูงใหญ่ ข้อที่ ๑๐ ชาตะรูปะระชะตะปะฎิคคะหะณา เวระมณี // สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการรับเงินและทอง
พระอาจารย์นำสามเณรกล่าวคำยืนยันความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามสิกขาบทตามที่สมาทานว่า "อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ" สามเณรกล่าวคำยืนยันที่จะปฏิบัติตาม ดังนี้ อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ // อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ // อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ // คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ๑๐ ประการนี้ฯลฯ เมื่อกล่าวคำยืนยันความตั้งใจ เป็นการปฏิญาณที่จะรักษาศีล ๑๐ ประการอันจะทรงภาวะความเป็นสามเณรไว้จบ ๓ วาระแล้ว กราบ ๑ หนยืนขึ้นว่า วันทามิ ภันเต // สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต // มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง//สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง //สาธุ/สาธุ / อนุโมทามิ ฯ คำแปล กระผมขอกราบไหว้ ท่านขอรับ ขอท่าน จงยกโทษที่ได้ล่วงเกินทั้งปวงให้กระผมด้วย ขอท่านพึงอนุโมทนาบุญที่กระผมได้กระทำ และขอท่านพึงให้บุญที่ท่านได้ทำแก่กระผมด้วย สาธุ สาธุ กระผมขออนุโมทนาฯ สามเณรนั่งคุกเข่า กราบ ๓ หน จบพิธีการบวชเป็นสามเณรแต่เพียงเท่านี้ สำหรับผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุ ก็เริ่มขั้นตอนการอุปสมบทต่อไป จบพิธีบวชสามเณร
|
เริ่มขั้นตอนการบรรพชา (บวชสามเณร)
