สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

๔ ม.ค.๒๕๕๗
ถึงมวลมหาพุทธศาสนิกชน
มวลมหาประชาชน สวดมนต์ภาวนากันหรือยัง
ถ้ายัง ถือว่าพวกท่าน ยังไม่เลือกข้าง
ท่านจะปล่อย กิเลสตัณหา มากองอยู่ในบ้านท่านหรือ
นานวันมันจะหนาขึ้นๆ เราจะมากู้จิต กู้ใจกัน
ไม่ยอมให้ มารมาครองใจ จงลุกขึ้นสู้ สู้กับใจตัวเอง
เอาชนะ ความขี้เกียจ ผลัดวันประกันพรุ่ง
เอาความดี ชนะความชั่ว ถึงเวลาแล้ว เรามวลมหาประชาชน
จะปิดอายตนะทั้ง ๕ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย เหลือเพียงใจ
ที่ต้องเฝ้าระวัง เราจะต้องปฏิรูปจิต ให้พ้นมลทิน
ปราศจากความเศร้าหมอง เราจะรวมตัวกัน
แสดงพลังในทุกที่ ทุกเวลา แสดงพลังให้กิเลส และมารทั้งหลาย
ได้เห็นชัยชนะจะเกิดแก่ มวลมหาประชาชน สาธุ

๑๒ มิ.ย.๒๕๕๗
"ธรรมใดใดก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ"

เมื่อเรียนรู้ธรรมแล้ว พึงนำมาปฏิบัติ
ธรรมนั้นจึงจะมีค่า เพราะการฟังธรรม อ่านธรรมนั้น
ทำให้เกิดความเบา ความสบาย เหมือนกับว่า
ร่างกายเมื่อยล้า แล้วได้ลงไปนอนแช่ในน้ำอุ่น
แต่ในชีวิตความเป็นจริง เราจะมัวมานอนแช่ในน้ำอุ่นทั้งวัน
ก็ไม่ได้ เรามีภาระมากมายต้องกระทำ จึงต้องลงมือปฏิบัติ
มิใช่แต่อ่านและฟังเป็นส่วนมาก ลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
คือระลึกรู้อยู่ในกาย จนจิตตนเป็นสันสติ คือระลึกรู้อย่างต่อเนื่อง
ทำบ่อยๆทำให้ชิน ความคุ้นเคยกับสติ ก็จะมีขึ้น
เราจะได้มิตรอันยอดเยี่ยม เป็นกัลยาณมิตรที่วิเศษ
คอยเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ คุณค่าแห่งธรรม ก็จะเกิดในตัวเรา

๕ ม.ค.๒๕๕๗

สุขปัจจุบันทันด่วน

ขอให้มีความสุขกับงานที่ทำ
ไม่ต้องรอเวลาเงินเดือนออก
ไม่ต้องรอใครมาให้
ไม่ต้องรอใครมาชม
ทำแล้วก็สุขได้เลย
จะได้มีความสุขทันตาเห็น


๑ เม.ย.๒๕๕๗
ทุกข์นั้น เมื่อเกิดกับใครก็เหมือน คนแบกก้อนหินไว้
อันหินนั้นมันหนักนัก ถึงเราจะแบกหรือไม่แบก
น้ำหนักมันก็เท่าเดิม เราไม่ยอมเดินผ่านหินก้อนนั้น มันจึงหนัก
ชีวิตคนเราก็เช่นกัน เรื่องราวทั้งหลาย มันก็เป็นอยู่ของมันอย่างนั้น
อยู่ที่ว่าเราจะเอามาเป็นภาระหรือเปล่า ? พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ทุกข์นั้น พึงกำหนดรู้ ส่วนที่ต้องละนั้น คือเหตุแห่งทุกข์
นั่นคือ ตัณหา ๓ นั่นเอง

๑๗ เม.ย.๒๕๕๖
"ไม่รักตน" ตอน ๑/๔ (มี ๔ ตอน)
ความไม่รู้ในรูปนาม จึงนำพาให้มนุษย์ ยินดีในสิ่งทั้งหลาย
จนลืมตน เฝ้าฟูมฟาย เสียอกเสียใจ ตีอกชกตัว
เพราะมัวไปหลง ไปยึด คนอื่นสิ่งอื่น
จนตัวเอง ต้องทุกข์ทรมาน
เพราะความโง่ ความหลง ชื่อว่า "ไม่รักตน"

๑๗ เม.ย.๒๕๕๖
"ขนลูกเห็บ" (ตอน ๒/๔) มี ๔ ตอน
คนเรานั้น ต้องหมั่นศึกษาศิลปวิชา เพื่อประกอบอาชีพ
หาเลี้ยงตนและครอบครัว สร้างฐานะ สั่งสมทรัพย์สมบัติ
จนไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เมื่อยังไม่มี ก็อยากจะมี
เมื่อมีแล้ว ก็อยากจะมีมากขึ้นไปอีก จนบางคน ถึงกลับหลงไป
กลัวทรัพย์ที่มีจะพร่องลง ทำให้เกิดความตระหนี่ แต่ลืมไปว่า
ไอ้ที่หามาทั้งหมดน่ะ ได้ใช้แค่นิดเดียวในโลกนี้ ในโลกหน้าไม่ได้ใช้เลย
เหมือนคน "ขนลูกเห็บ" สุดท้ายมันก็ละลายไปหมด

๑๗ เม.ย.๒๕๕๖
"เก็บของเน่า" (ตอน ๓/๔) มี ๔ ตอน
ความโง่ ความหลง เป็นเหตุให้หลงประกอบ บาปอกุศล



๑๗ เม.ย.๒๕๕๖

"เข้าทางรก" (ตอน ๔/๔) มี ๔ ตอนจบ
ทางเดินแห่งชีวิตนั้น มีศีลเป็นคอกกั้น ไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว
มีภาวนา เป็นเครื่องขัดเกลาจิต ให้สงบระงับ ไม่วุ่นวาย
แต่ด้วยความเพลิดเพลิน ความอยากทั้งหลาย
จึงนำพาให้ชีวิต ดำเนินไปสู่หนทางที่ รกรุงรัง
มีแต่ความลำบาก มีการเบียดเบียนชีวิต ทรัพย์สิน
ประกอบ วาจาอันมิชอบ อาศัยน้ำเมา เครื่องหมักดองเป็นที่ย้อมใจ
สิ่งเหล่านี้นั้น จะนำพาชีวิต "เข้าทางรก" มีทุคติเป็นผล
เมื่อเกิดมาแล้ว จึงต้องถากถางทางเดิน ให้โล่งให้เตียน
มี "ทาน ศีล ภาวนา" เป็นที่ตั้ง จะนำชีวินมุ่งสู่ความเจริญโดยมิต้องสงสัยแล.


๒๐ ธ.ค.๒๕๕๗
โทษของตนนั้นเห็นยาก


๑๑ ก.พ.๒๕๕๗
ธรรม ย่อมเกิดแก่พราหมณ์ ผู้เพ่งเพียร
เราปรารถนาธรรม พึงเพ่งเพียรกำหนด
เฝ้ารู้ เฝ้าดู จิตตน
ด้วยความเห็นในทุกขสัจจะ ที่ปรากฏ
จะนำพาให้เราท่าน ยอมละ ยอมวาง โดยไม่สงสัย



๕ ม.ค.๒๕๕๗

"ดูทั้งนอกทั้งใน"

ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความสดใส
เปิดตานอกมอง ดูโลก คราใด
อย่าลืมเปิดตาใน ดูใจ ครานั้น
เมื่อเฝ้าดูใจ ย่อมไม่ เผลอใจ
โจรย่อมไม่เข้าปล้น เมื่อเจ้าของบ้านตื่นอยู่


๒๕ พ.ย.๒๕๕๘
ลอยกระทงลงน้ำสำราญจิต...
ลอยชีวิตเศร้าหมองให้จากหาย...
ลอยทุกสิ่งที่ชั่วให้จากไป...
ลอยให้ไกลทุกเรื่องเนื่องบาปกรรม...

มาวันนี้ตัวลอยจากความเศร้า...
จิตใจเบาเป็นสุขทั้งเช้าสาย...
อีกบ่ายค่ำเปรมอุราไม่รู้วาย...
ใจสบายทั่วกัน "วันลอยกระทง"


๓ มิ.ย.๒๕๕๖
"ก็ใจดวงนี้"
ชีวิตคนเรานั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะเป็นเวลาไหน จะพบเจอกับเรื่องอะไร
มันก็ไม่พ้นใจดวงนี้ เรามัวแต่ไปยุ่งกับเรื่องทั้งหลาย จนลืมเจ้าของ
ลืมรักเจ้าของ เกาะเกี่ยวกับของนอกตัว จนเจ้าของวุ่นวาย
แล้วก็มาหาทางรักษาเจ้าของให้มันสงบ
มันก็เลยวนเวียน เหมือนตากผ้ากลางฝนไม่แห้งสักที
จึงควรรักเจ้าของให้มากๆ หมั่นดูแลว่าเจ้าของคิดอะไร เจ้าของเป็นยังไง
ถ้าดูแลอยู่ บ้านเจ้าของก็ไม่รก ไม่รกความคิดและอารมณ์
เปรียบเหมือนบ้านเรา ฝุ่นหยากไย่ข้าวของทั้งหลาย เมื่อมันรกเราก็เก็บ
กวาดปัดถู ทำแล้วมันก็โล่งก็สบาย ใจเจ้าของก็เช่นกัน
เมื่อดูแลอยู่ มันก็ปล่อย ก็วางอารมณ์และความคิดลงได้
เพราะรู้ วางลงแล้วจะสบาย เพียงแต่ว่า เราเริ่มดูแลเจ้าของหรือยัง
ถ้ายังก็เริ่มเสีย จงเฝ้าดูความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น
รู้นั่นแหละคือสติ เมื่อมีสติ ก็ชื่อว่าได้ดูแลเจ้าของ ดูแลใจดวงนี้

๙ ธ.ค.๒๕๕๗
"เวลากับความจริง"

เราสร้างเวลาขึ้นมาว่า เวลานี้เราจะทำอย่างนี้
เวลานั้นเราจะทำอย่างนั้น ก็พอจะทำได้อยู่
เหมือนเราขีดๆเขียนๆอะไรๆไว้บนผืนทราย
แต่อีกไม่นาน ทุกอย่างมันก็จะอันตรธานหายไป
ธรรมชาติจะทำให้ ทุกอย่างไม่มีอะไร
เหมือนคลื่น ที่ซัดน้ำเข้าหาฝั่ง
"อนิสฺสิโต จ วิหรติ นจ กิญจิโลเก อุปาทิยติ"
จงอย่ายึดมั่นถือมั่น อะไรในโลกนี้เลย เพราะโลกนี้ไม่มีอะไร

๒๕ ม.ค.๒๕๕๗
"ธรรมรักษา"
อันที่จริงแล้ว เราจะมัวรอมาปฏิบัติที่วัดนั้น
มันจะเสียโอกาส เราควรเริ่มปฏิบัติในทุกที่ ที่มีกายมีใจ
ใจเป็นผู้รู้ รู้สึก รู้นึก รู้คิด
ถ้ารู้เรื่องเดียวที่เดียวมันก็เป็นสมถะ ฝึกไปก็จะเกิดความสงบ
แต่ถ้ารู้แล้วเข้าใจ เห็นความเป็นธรรมดาของสิ่งที่ปรากฏ
รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป สิ่งทั้งหลายไม่คงที่
สภาพทั้งหลายไม่อยู่ในบังคับของเรา
อันนี้ก็เป็นวิปัสสนา แต่ส่วนมากก็ข้องอยู่กับสมถ
เพราะกระทำได้ง่าย และมีความสุขสบายเป็นเครื่องย้อม
เมื่อมีสมถะเป็นรากฐาน ก็พึงหมั่นสังเกตุ
พิจารณาให้เห็นตามจริงอยู่เนืองๆ
เช่นนี้ก็ชื่อว่า เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธรรม
เมื่อนั้น ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรร


๑ เม.ย.๒๕๕๗
มนุษย์เรานั้น ชอบแสวงหา แต่ของไกลตัว
ทั้งๆที่ ของที่แสวงหานั้น เราก็นั่งทับมันอยู่
"ความสุข" ที่เราแสวงหา อยู่ตรงนี้แหละ
อย่ามัวไปหาตรงนั้น มันจะกลายเป็นลิง

๑ เม.ย.๒๕๕๗
"อันควันนั้นเกิดแต่ไฟ" ใจเราท่านก็เช่นกัน
มันนึก มันคิด เช่นไร เห็นอะไร ได้ยินอย่างไร
มันก็แสดงออกมา ทั้งนึก ทั้งคิด รู้สึกต่างๆนานา
เปรียบเหมือนควัน จะบอกให้รู้ว่า นั่นแหละ"ตัวเรา"
คือใจที่หมักหมม ด้วยไฟ ๓ กองนั่นเอง


๑๗ พ.ค.๒๕๕๗
กายตื่นแล้ว ใจอย่าลืมตื่นตาม
ตื่นจากความวิตกกังวล ตื่นจากอคิตทั้งหลาย
มีจิตอันสงบระงับ ประกอบด้วยเมตตา
ต่อเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเกิด แก่ เจ็บตาย
ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
เป็นผู้รู้อยู่กับปัจจุบัน
เป็นผู้ตื่นอยู่ในธรรมเป็นนิจ
ชีวิตย่อมเป็นสุขแล

๒๑ ธ.ค.๒๕๕๗
ความอดทน อดกลั้น
เป็นกำแพงกั้น หมู่มาร


๒๑ ธ.ค.๒๕๕๗
มันไม่เที่ยง นั้นเห็นบ่อย
ไม่รู้จัก จึงไม่เบื่
ใจมันด้าน จึงต้องขัด
เกลาให้บาง จนวางเอง

๒๑ ธ.ค.๒๕๕๗
มนุษย์ วนเวียนในภพชาติ
พายุหมุนสรรพสิ่งให้เป็นไป
จงก้าวข้าม ความติดทั้งหลาย
นำพาตนให้พ้นสังสารวัฎ
๓ เม.ย.๒๕๕๖
ตอนนี้วิญญาณ ยังอาศัยกายนี้อยู่
แต่อีกไม่นานกายนี้ ก็อาศัยไม่ได้แล้ว
เมื่อรู้ดังนี้ จึงควรพิจารณา ให้เห็นว่า
จิตนั้น พึงกำหนดรู้ ในวิญญาณ (ความรู้สึก) ทั้งหลาย
ทั้งทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ
รู้ คือ จิต ระลึกรู้ คือ สติ
เมื่อสติมีกำลัง ย่อมปรากฏสมาธิ
เฝ้าพิจารณากาย (รูป) และจิต (นาม)
รู้ว่าทั้งรูปและนามนั้น ได้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
พิจารณาเห็นเช่นนี้อยู่เนืองๆ เป็นไปเพื่อปัญญา
เพื่อความจางคลายในตัวตน คลายจากความยึดถือ
"เมื่อยึดมาก ก็ทุกข์มาก ยึดน้อย ก็ทุกข์น้อย"



view