ธรรมะสาธุ ๑
เรื่อง อนิจจัง
ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ท่านผู้รับฟังรายการทุกท่าน รายการที่ท่านรับฟังอยู่ขณะนี้นั้น เป็นรายการสื่อธรรมะที่นำเสนอเป็นปกติ ในรายการประจำวันนี้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี และสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดปราจีนบุรี โดยออกอากาศเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ เวลา ๘:๐๕ - ๘:๓๐ น. โดยประมาณ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงกองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ ระบบ เอฟ เอ็ม ความถี่ ๘๘.๒๕ เมกกะเฮิร์ต ค่ายพรหมโยธี อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ขอความสุขสวัสดิ์ดีจึงมีแด่ญาติโยมทั้งหลาย
ผู้รับฟังอยู่ที่บ้านเช้าวันอาทิตย์ก็เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่สดใส นี่ก็เข้าฤดูหนาวซึ่งในเมืองไทยก็เอาแน่นอนอะไรไม่ได้นะญาติโยม ฤดูเค้ามีกำหนดเอาไว้ชัดเจน ฤดูหนาว ฤดูร้อน และก็ฤดูฝนแต่อากาศก็ไม่ได้เป็นไปตามที่กำหนด บางครั้งเข้าฤดูหนาวกับอากาศร้อน บางครั้งก็มีฝนตก บางทีไปถึงฤดูฝนกับแห้งแล้งอย่างนี้เป็นต้น ก็คือไม่มีอะไรแน่นอนไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวทั้งหลายในชีวิติแม้แต่ภูมิอากาศก็ยังไม่แน่นอน เพราะความไม่แน่นอนนี้ทำให้มนุษย์เรารู้สึกไม่มั่นคงและก็ไม่มั่นใจ คือธรรมชาติของมนุษย์นั้น ต้องการอะไรที่มั่นคงแล้วก็คงทนถาวร อาทิ เช่น เวลามีทรัพย์สมบัติก็อยากให้ทรัพย์สมบัตินั้นอยู่ได้นานๆ อยากให้ชื่อเสียงอยู่ยาวนานที่สุด อยากให้สิ่งที่ดีงามที่เกิดขึ้นกับชีวิตนั้นคงทนถาวร คือไม่อยากให้สิ่งดีๆในชีวิตนั้นเสื่อมสูญไปนั่นเอง แต่โดยความเป็นจริงของธรรมชาติมันเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งทั้งหลายจะจีรังยั่งยืนเพราะเป็นกฏธรรมชาติฉะนั้นผู้ที่มีความฉลาดในทางความคิดเค้าก็จะคิดตามความเป็นจริงไม่ว่าเป็นเรื่องรูปธรรมทั้งหลาย หรือนามธรรมทั้งหลาย คือเค้าคิดไปมันไม่จีรัง ที่ภาษาพระว่ารูปนามนั่นมันเป็น "อนิจจัง" มันไม่เที่ยง ไม่ว่าจะรูปภายใน รูปภายนอก รูปอันอยู่ใกล้ รูปอันอยู่ไกล รูปภายในที่ว่าก็รูปสังขารของเราท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสังขารกายทุกเพศทุกวัยท่านว่าไม่จีรัง ตั้งแต่กำเนิดเกิดมาก็เสื่อมไปเรื่อย ก็ต้องอาศัยอาหาร อากาศ และก็น้ำบำรุงเข้าไป ก็ดูเหมือนจะเติบโต แต่อีกมุมหนึ่งก็เสื่อมเค้าเรียกว่านับถอยหลัง ที่เค้าเรียกว่าความชรามาเยี่ยมเยือนนั่นเอง สุดท้ายแล้วเสื่อมที่สุดก็อยู่ไม่ได้ เค้าเรียกว่าเกิดความแตกดับหรือเรียกว่ามรณะ ของทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินทั้งหลาย วัตถุทั้งหลายที่ได้มาท่านว่ามีความเสื่อม มีความชราคือความแก่คร่ำคราไม่ว่าของทั้งหลายที่เราได้มา ญาติโยมทั้งหลายเค้าว่าให้ฉลาดมองฉลาดคิด คิดเผื่อเอาไว้เลย อย่างเช่น รถยนต์ได้มาใหม่ๆก็ดีใจแต่เราก็ต้องคอยดูแลรักษาให้มันเสื่อมให้มันเสียช้าที่สุด แต่สุดท้ายแล้วมันก็ต้องเสื่อม มันก็ต้องเสีย เค้าว่าให้คิด คิดลองรับเอาไว้ คิดให้เห็นความจริง แต่สุดท้ายก็แตกดับคือเสียหายใช้การไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น เค้าว่าเป็นธรรมชาติของความเสื่อม ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมก็ดี นามธรรมก็ดี ก็ให้คิดเผื่อเอาไว้เลยเพื่อความไม่ประมาท ถ้าเราไม่คิดอย่างนี้ ไม่เห็นอย่างนี้ เวลาความเสื่อมมันปรากฎให้เห็นชัด ความสูญเสียมันปรากฎให้เห็นชัดก็ทนกันไม่ได้ ตีอกชกตัว เสียอกเสียใจ ไม่เป็นอันกินอันนอน ไม่เป็นอันทำมาหากิน ก็พาให้เสียหาย ความคิดพาให้เสียหาย
พระพุทธเจ้าท่านก็เลยสอนให้มนุษย์นั้นรู้จักคิด คือคิดให้เป็นนั่นเอง คิดให้เห็นความจริงคิดให้เป็นธรรมชาติว่าสิ่งทั้งหลายมันเป็นอย่างนั้น คือพระพุทธองค์นั้นท่านสอนให้เห็นอนิจจัง คือให้มนุษย์นั้นเห็นธรรมชาตินั่นเอง ความทุกข์จะได้น้อยลง ก็ต้องมีกำลัง กำลังในตัวจิตใจของเค้านั้นแหละ ถ้าจิตใจอ่อนแอมันก็คิดไม่ได้ ก็เหมือนคนจะเดินท่านว่าเท้าต้องมีกำลัง เท้าไม่มีกำลังที่จะเดินมันก็เดินไม่ได้ จะต้องสร้างกำลังขึ้นมาจิตใจก็เหมือนกัน ท่านว่าต้องให้มีกำลัง กำลังของจิตใจที่ดีที่สุดท่านว่าต้องมีความสงบเป็นพื้นฐาน บางคนก็คิดว่าความสงบไม่สำคัญ บางทีคิดไม่ละเอียดคิดไม่ปราณีต ก็เลยว่าความสงบนั้นมันไม่สำคัญ จริงๆแล้วสำคัญมาก ความสงบเป็นขุมกำลังอย่างดีเลย จิตใจของคนทั่วไปต้องอาศัยความสงบเป็นที่อยู่ที่ตั้ง เปรียบเหมือนญาติโยมทั้งหลายนะต้องมีบ้านเรือนเป็นที่อยู่ที่อาศัย พระสงฆ์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ต้องมีกุฏิวิหารเป็นที่อาศัย จิตใจเราท่านก็เช่นเดียวกันต้องมีที่อาศัยนะ ที่อาศัยของจิตใจนั้นก็คือวิหารธรรมนั้นเอง มีธรรมเป็นที่อาศัย ธรรมอันนี้ก็คือความเป็นจริง ก็คือธรรมชาติเป็นที่อยู่อาศัย มีความสงบเป็นธรรม มีความสันติเป็นธรรม มีเมตตาเป็นธรรม เราสามารถสร้างบ้านเรือนให้จิตใจได้เยอะแยะไปหมดเลย เค้าเรียกมีที่อาศัยนั่นเองจิตใจอาศัยความสงบเป็นเครื่องอยู่ จิตใจอาศัยเมตตาเป็นเครื่องอยู่ จิตใจอาศัยสันติเป็นเครื่องอยู่ อาศัยอุเบกขาเป็นเครื่องอยู่ หรือมีขันติเป็นเครื่องอยู่ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมทั้งนั้นอันนี้ต้องฝึกใคร่ครวญเห็นว่าดีแล้ว พวกเราก็ฝึกแล้วก็หาที่อยู่ ในทางตรงกันข้ามถ้าไม่ใคร่ครวญและไม่ฝึกฝนตัวเอง ไอ้ที่มีอยู่มันก็เลวร้ายนะ ก็อย่างเช่น มนุษย์ทั่วไปกลางค่ำกลางคืนแทนที่จะอยู่บ้านดีๆเป็นที่อยู่อันควร อ้าวไปอยู่ตามสถานเริงรมย์บ้าง ไปอยู่ที่อันเป็นอันตรายบ้าง ไปอยู่ในบ่อนการพนันบ้าง เห็นไหมเค้าเรียกที่เหมือนกันแต่ที่มันน่าอยู่กับไม่น่าอยู่ ที่น่าอยู่ก็มีความสุข ความสบาย ปลอดภัย ที่ไม่น่าอยู่มีแต่อันตรายรอบด้านไม่รู้ภัยจะมาถึงตัวเมื่อไหร่ เค้าเรียกว่าอยู่ด้วยความประมาทนั่นเอง ฉะนั้นจิตใจก็เหมือนกันเราก็ต้องหาที่ๆน่าอยู่อย่างที่กล่าวข้างต้น มีความสงบเป็นที่อยู่ มีเมตตาเป็นที่อยู่ มีสันติเป็นที่อยู่ ที่ไม่น่าอยู่เป็นอย่างไร ไปอยู่กับความโกรธ ไปอยู่กับความพยาบาทอาฆาต ไปอยู่กับความลโมบโลภมาก ไปอยู่กับความหลงในสิ่งที่เป็นไปได้ยาก พอหลงในสิ่งที่เป็นไปได้ยาก บางครั้งกลายเป็นเรื่องงมงายก็มีนะ ฉะนั้นเราก็ต้องหาที่อยู่ของจิตใจให้มันดี เค้าเรียกใคร่ครวญนะ ใคร่ครวญไว้ในใจ ใคร่ครวญแล้วก็กระทำจิตของตนนั้นอยู่ที่ง่ายที่สุดเลย ก็คือความสงบนั่นเองนะมีคุณค่าในการกระทำ ในความคิดทั้งหลายก็เป็นสิ่งสำคัญนะ
ในเรื่องของการฝึกฝนจิต ญาติโยมทั้งหลายฝึกได้ทุกท่าน ทุกเพศ ทุกวัย บางคนบอกว่าให้แก่ก่อนค่อยฝึก อันนี้เค้าเรียกคิดประมาท เพราะอะไรบางทีไม่ทันแก่ก็ไปซะแล้ว อย่างท่านผู้ฟังญาติโยมทั้งหลายที่ฟังรายการนี้รู้เรื่องทั้งหมดแหละ ถ้าฟังตรงนี้รู้เรื่องก็ฝึกได้ ฝึกใจให้สงบนะ สวดมนต์ ภาวนาทุกค่ำเช้า ทำจิตใจให้ผ่องใส ระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย จะได้ออกห่างจากบาปอยู่ใกล้บุญเข้าไปทุกที โดยเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้นั้นเค้าเรียกว่าอยู่ใกล้บุญนั้นบางครั้งมันยาก อุปสรรคปัญหามันเยอะ บางครั้งไม่อยากเข้าใกล้บาปมันดึงไปซะติดเลย เรื่องราวทั้งหลายทำให้เราพลาดพลั้ง กระทำความไม่ดีไม่งาม พลาดพลั้งได้ง่ายนะ ก็ขอฝากญาติโยมทั้งหลายนะในเรื่องของการผิดพลาด การดำเนินชีวิตให้คิดเสมอนะว่าเรื่องราวทั้งหลายไม่จีรังยั่งยืนทำให้ดีที่สุดนะ แล้วก็อารมณ์ปรารถสิ่งใดก็ให้ตั้งเป้าเอาไว้แล้วก็ดำเนินให้ดีที่สุด สุดท้ายมันจะเป็นอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น แต่ขอให้ทำให้ดีที่สุด เค้าเรียกว่ามีความจริงใจในงานที่กระทำนั้นๆ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอันใดเค้าว่าให้มีความจริงใจกับตัวเอง จริงใจกับการงาน จริงใจกับผู้อื่น ก็เป็นคนตรงนั่นเอง ไม่งอไปไม่งอมา บางคนตัวเองก็ไม่จริงใจ การงานก็ไม่จริงใจ กับคนอื่นก็ไม่จริงใจ สุดท้ายแล้วจะไม่ได้อะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์เลย เสียหายทั้งหมด เค้าให้ตั้งหลักที่ตัวเองนะให้จริงใจ แต่ก็ให้ฉลาดด้วย จริงใจแล้วต้องให้ฉลาดก็คือเกิดอะไรขึ้น ก็ให้รู้ว่ามันไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิตนะ จะได้บรรเทาความผิดหวังเสียบ้าง เค้าเรียกว่าความผิดหวังเสียใจกันได้บ้าง เพราะบางคนนั้นเสียใจมากเวลาพลาดพลั้งสิ่งทั้งหลาย จะได้มีธรรมะเป็นเครื่องบรรเทา อันนี้ก็ฝากธรรมะเล็กๆน้อยๆ เอาไว้เตือนจิตใจในเช้าวันอาทิตย์นี้
สำหรับวันนี้ก็คงจะขอเอวังด้วยประการฉะนี้ ท้ายที่สุดของการสนทนา การบรรยายสิ่งละอันพันละน้อย อาตมาก็ขออารธนาคุณพระศรียรัตนตรัย คุณแห่งบิดามารดา ครูบาอาจารย์ จงมาอภิบาลรักษาญาติโยมทุกท่านแล้วก็ครอบครัวให้ประสบแต่ความสุข นิราศทุกข์ นิราศภัย ปรารถนาสิ่งใดโดยชอบธรรมแล้วไซร้ ก็ให้สิ่งนั้นพลันสำเร็จโดยทั่วถึงกันทุกๆท่านเทอญ
ธรรมบรรยายทางสถานีวิทยุกระจายเสียง
เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๙
โดย พระครูภาวนาธรรมธารี
เจ้าคณะตำบลโคกไม้ลาย เขต ๑
และ เจ้าอาวาสวัดป่ามะไฟ
ตำบลโคกไม้ลาย อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี