ธรรมบรรยายทางสถานีวิทยุกระจายเสียง
โดย พระครูภาวนาธรรมธารี
เจ้าคณะตำบลโคกไม้ลาย เขต ๑
และ เจ้าอาวาสวัดป่ามะไฟ
ตำบลโคกไม้ลาย อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี
อำนาจพระพุทธมนต์ 1
พระพุทธมนต์สำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์
ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ท่านผู้รับฟังรายการทุกคน
รายการที่ท่านรับฟังอยู่ขณะนี้นั้น เป็นรายการสื่อธรรมะที่นำเสนอเป็นปกติในรายการประจำวันนี้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี และสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดปราจีนบุรี โดยออกอากาศเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ เวลา 08.05-08.30 น. โดยประมาณทางสถานีวิทยุกระจายเสียงกองพลทหารราบที่สองรักษาพระองค์ ระบบเอฟเอ็ม ความถี่ 88.25 เม็กกะเฮิร์ต ค่ายพรหมโยธี อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ก็ขอความสุขสวัสดิ์ดีจงมีแด่ญาติโยมทุกท่านที่ได้รับฟังรายการธรรมะที่มีเป็นปกติ
สำหรับในวันอาทิตย์นี้นั้น ก็คงจะมีเรื่องเล่าที่เราชาวพุทธบ้างครั้งสงสัย เพราะว่าชาวพุทธนั้นเวลาจะกระทำพิธีอันเป็นมงคลก็ต้องกราบอาราธนาพระสงฆ์มาทำบุญตามบ้าน ตามห้างร้านบริษัท หรือสถานที่ต่างๆ อันนี้ถือเป็นประเพณีนิยมของชาวพุทธเรา
เมื่อนิมนต์พระสงฆ์มาแล้วเราก็กราบอารธนาให้ท่านเจริญพระพุทธมนต์บ้าง
ถวายภัตตาหารบ้าง ถวายจตุปัจจัยชัยธรรมบ้าง เราก็จะชินอยู่กับระดับพิธีที่กล่าวมาข้างต้น หลายท่านก็เลยสงสัยว่าพระท่านเจริญพระพุทธมนต์นั้นเจริญอะไร เจริญไปทำไม
อันนี้เป็นที่กังขาของญาติโยมหลายท่าน
คือ ลำดับพิธีนั้นส่วนมากพระท่านก็จะให้ญาติโยมรับศีลเสียก่อน ที่ให้รับศีลก็เพื่อให้เรานั้นมีกาย วาจา ที่บริสุทธิ์ ที่จะน้อมรับบุญกุศลที่จะเกิดขึ้นต่อหน้า ก็คือให้รับศลีเป็นพื้นฐาน เมื่อรับศลีเสร็จแล้ว
ตอนนี้ก็เจ้าพิธีก็จะได้ อาราธนาพระปริตร คือการอาราธนาพระปริตรนั้นก็มีความหมาย
ถ้าโดยคำแปล ก็คือขอให้ท่านทั้งหลายจงสวดพระปริตรอันเป็นมงคล เพื่อป้องกันความวิบัติ เพื่อความสำเร็จแห่งสมบัติทั้งปวง เพื่อให้ทุกข์ทั้งหมดพินาศไป คือความหมายนั้นเป็นลักษณะนี้ ก็คือเป็นอาราธนาพระสงฆ์ให้เจริญให้สวดพระปริตรนั้นเอง เพื่อประกอบการอันเป็นมงคล เพื่อป้องกันความวิบัติ แล้วก็เพื่อปรารถนาความสำเร็จ ก็กล่าวเป็นสามคำรบ
เมื่อเจ้าพิธีกล่าวเสร็จแล้ว ทีนี้พระสงฆ์ก็จะทำการชุมนุมเทวดา บางคนก็สงสัยอีกว่าจะชุมนุมเทวดาไปทำไม คือชุมนุทเทวดานั้นเป็นคาถาที่ประพันธ์โดยบูรพาคณาจารย์ ก็คือ ครูบาอาจารย์สมัยโบราณนั้นท่านได้ประพันธ์ขึ้นมาเพื่ออัญเชิญเทวดามาฟังธรรม ก็มีความเป็นมาที่เค้าเรียกว่าประวัติของชุมนุมเทวดา คือชุมนุมเทวดาเป็นบทที่ใช้สวดเพื่ออันเชิญเทวดามาร่วมฟังการเจริญพระพุทธมนต์ หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นบทที่ใข้สวดเพื่ออัญเชิญเทวดามาร่วมฟังธรรมของพระพุทธองค์นั่นเอง เพราะว่าพระพุทธมนต์ที่พระได้สวดได้เจริญนั้นส่วนมากจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคำสอนทางพระพุทธศาสนาซึ่งก็คือว่าเมื่อมาฟังแล้วก็เป็นการแบ่งส่วนบุญให้แก่สรรพสัตว์ทุกจำพวก ทุกหมู่เหล่า แม้กระทั่งเทวดาซึ่งมองไม่เห็นตัวก็แผ่เมตตาจิตไปถึง การชุมนุมเทวดานั้น ก็ให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเป็นผู้กล่าวในเนื้อความ ก็เริ่มต้นด้วยการตักเตือนผู้ที่จะเจริญพระพุทธมนต์ก็ให้ประกอบไปด้วยจิตที่มีเมตตา แล้วก็ตั้งใจเจริญพระพุทธมนต์อย่าให้จิตฟุ้งซ่านก็คือเป็นการเตือนนั่นเอง เมื่อได้แนะนำวิธีการเจริญพระพุทธมนต์ตามหลักการนี้แล้ว จากนั้นก็เชิญเทวดาที่สถิตย์อยู่ในทวีป ในรัฐ ในหมู่บ้าน ในต้นไม้ ในป่าลึก ในเย้าเรือน ในเรือกสวนไร่นา ตลอดจนถึงเหล่ายักษ์ คนธรรพ์ นาคทั้งหลายทั้งที่อยู่ในน้ำ บนบก ที่ลุ่ม ที่ดอน การเชิญชวนเทวดาฟังธรรมนั้น ถือว่าเป็นการสร้างบุญ สร้างกุศลอีกทางหนึ่ง เค้าเรียกเป็นการเผื่อแผ่นั่นเอง การฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ก็คือการฟังธรรมนั่นเอง อย่างที่กล่าวข้างต้นว่าพระพุทธมนต์ก็เป็นเนื้อความคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในตอนท้ายของบทชุมนุมเทวดา ประกาศการฟังธรรมว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย การนี้เป็นการฟังธรรม
กล่าวถึงสามครั้ง ว่าการนี้เป็นการฟังธรรม ถ้าอย่างนั้นเราทั้งหลายเวลาพระท่านชุมนุมเทวดาเราก็เตรียมพร้อมน้อมรับที่จะฟังธรรม ต่อจากชุมนุมเทวดาพระก็จะเจริญพระพุทธมนต์เป็นบทๆไป
แต่ที่จะมากล่าวเรื่องพระพุทธมนต์ที่เป็นพระพุทธมนต์ประจำวันเกิด เพราะว่าญาติโยมมักจะนิยมแล้วก็ชอบถามว่า โยมเกิดวันนี้วันอังคารจะสวดมนต์บทอะไรดี จริงๆแล้วการสวดมนต์ สวดบทไหนก็ได้ เพราะว่ามุ่งหวังให้จิตใจเรานั้นเกิดความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แต่พอบอกสวดบทไหนก็ได้ก็ไม่ค่อยจะมั่นใจ น่าจะมีอะไรประจำวันของตัวเอง เพราะว่าในสัปดาห์หนึ่งก็มีถึงเจ็ดวัน จะเป็นวันอาทิตย์ วันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ คนก็มักจะนิยมแม้กระทั่งสีก็ยังมีสีประจำวันเกิด แก้วมณีก็ยังมีแก้วมณีประจำวันเกิด พระก็เหมือนกันพระพุทธรูปก็ยังมีปางต่างๆ ประจำวันเกิด ตอนนี้มาถึงพระพุทธมนต์ ญาติโยมก็เลยอยากได้พระพุทธมนต์สำหรับประจำวันเกิดตัวเอง
อันนี้อตมาภาพก็จะมาอรรถาธิยายที่ ครูบาอาจารย์ท่านได้เจตนาเอาไว้นานแล้ว มาเล่าสู่กันฟังเพื่อญาติจะได้หยิบยกนำไปเจริญไปสวดเพื่อเกิดมงคลชีวิต เป็นสิริสมบัติในจิตใจ เพราะว่าการสวดมนต์นั้นถือว่าเป็นการทำบุญด้วยตัวเอง อย่างน้อยๆก็ทำให้จิตของผู้สวดนั้นมีความตั้งมั่น เกิดความสงบ เกิดความสุขแล้วมีจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ก็เริ่มจากวันอาทิตย์ก่อนในครั้งนี้ ก็คงจะกล่าวไม่หมดทุกวันหรอก เพราะว่าเวลามีจำกัด ก็จะกล่าวเล่าเป็นวันๆไปว่า บทไหนเหมาะกับบุคคลวันไหน ญาติโยมจะได้เอาไปจำ แล้วก็นำมาสวดมาเจริญกัน จะได้เกิดความมั่นใจ
สำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์นั้นท่านว่า ให้สวดโมรปริตร หรือวัฏฏกปริตร อันนี้โยมยังสงสัยว่าจะไปหาอ่านหนังสือที่ไหน ในหนังสือมนต์พิธีที่ขายทั่วไปตามท้องตลาด โยมไปหาซื้อหรือตามวัดที่ไหนเค้าแจก โยมก็เอามาเปิดดู ถ้าเป็นบทโมรปริตร หรือวัฏฏกปริตรนั้น ก็เป็นอันว่าเป็นของประจำวันคนเกิดวันอาทิตย์ โมรปริตรนั้นก็เป็น”อนุภาพแห่งความแคล้วคลาดปลอดภัย” ส่วนวัฏฏกปริตรนั้นเป็น”อนุภาพแห่งการป้องกันไฟไหม้” เค้ามีระเบียบมีหลักการในแต่ละบท คือมีความหมาย ทีนี้ก็อธิบายเป็นบทไปสำหรับคนที่เกิดวันอาทิตย์
โมรปริตรที่ว่าเพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัย อันนี้ก็มาจากชาดกคือมาในสุตตันตปิฎก
โมรชาดก ทุกนิบาต แล้วก็อีกส่วนหนึ่งก็มาจากอรรถกถาชาดก คือมีอ้างอิงในพระคัมภีร์ พระไตรปิฎกนั่นเอง
มันมีตำนานเค้าเล่าอย่างนี้ ในอดีตกาลนั้นพระโพธิ์สัตว์เกิดเป็นนกยูง มีขนสีทองงดงามมาก อาศัยอยู่บนภูเขาสูงชื่อทัณฑกหิรัญบรรพต นกยูงซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์นั้น ก็ระมัดระวังรักษาตัวเป็นอย่างมาก ที่อยู่อาศัยก็ต้องลี้ลับและไกลจากถิ่นมนุษย์ ก็เนื่องจากขนมีสีทองงดงามนั่นเองจึงเป็นภัยกับตนเอง ถึงอย่างนั้นนกยูงก็ยังต้องร่ายมนต์สำหรับคุ้มครองป้องกันตัวให้รอดปลอดภัยทุกเช้าเย็น ก็คือความกลัวภัยในสมบัติของตน ต้องร่ายมนต์ทุกเช้าเย็น ก็เหมือนถ้าเปรียบเทียบคนสมัยนี้บางทีมีทรัพย์สมบัติเยอะๆแทนที่จะมีความสุขกับไม่สุข ห่วงกังวลว่าทรัพย์จะมีอันเป็นไป บางครั้งเอาไว้ในที่มิดชิดแล้วใจมันก็กังวลอีก เค้าเลยว่าจะมีอะไรก็ต้องมีให้เป็นจะได้เย็นสบาย นกยูงตัวนี้ก็เหมือนกัน ก็ต้องร่ายมนต์ทุกเช้าเย็น เมื่อพระอาทิตย์อุทัย นกยูงก็จะบินขึ้นไปจับที่ยอดภูเขาลูกที่ได้อาศัยอยู่ ก็ได้อาศัยเพ่งดูพระอาทิตย์กำลังขึ้น พลางก็ร่ายมนต์นมัสการพระอาทิตย์อุทัยโดยมนต์ก็เริ่มต้นว่า อุเทตะยัญ จักขุมา เอกะราชาเป็นลำดับไป ว่าไปเรื่อยๆอย่างที่พระท่านสวดตลอดจนกว่านมัสการพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเสด็จปรินิพานไปแล้วในอดีต เพื่อเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาให้ปลอดภัยในถิ่นที่ท่องเที่ยวไปหาอาหารในเวลากลางวัน ก็คือสวดเพื่อให้ปลอดภัยนั่นเอง
พอตกเย็นนกยูงก็บินไปจับที่ยอดเขาทัณฑกหิรัญบรรพต ก็ลูกเดิมนั่นแหละ ก็ร่ายมนต์นมัสการพระอาทิตย์ที่กำลังอัสดง ก็ได้เริ่มต้นว่า อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชาเป็นต้น ก็ลำดับไปเรื่อยๆอย่างที่เราก็คุ้นเคยกับที่พระท่านสวด ก็คือกล่าวนมัสการพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งเสด็จปรินิพานไปแล้วในอดีตตลอดจนนมัสการคุณของพระสงฆ์แล้วก็เข้านอน ก็คือว่าเช้าพระอาทิตย์ขึ้นก็สวดอ้อนวอน ค่ำลงพระอาทิตย์ตกก็สวดอ้อนวอนก็เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันตนให้ปลอดภัยในถิ่นที่อยู่อาศัย ด้วยอานุภาพแห่งพระปริตรที่นกยูงนมัสการเช่นนี้ เป็นกิจวัตรทุกวันเช้าเย็นมิได้ขาด จึงทำให้นกยูงแคล้วคลาดปลอดภัยตลอดมา อันนี้ก็ท่าจะเป็นเครื่องรำลึกนะญาติโยมลองไตร่ตรองดูว่า การที่นกยูงโพธิ์สัตว์ท่านนั้นได้สวดมนต์ทุกเช้าเย็นก็คือว่าได้รำลึกถึงว่าจะต้องปลอดภัย แสดงว่าวันนั้นต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่ เป็นเครื่องเตือนสติอย่างดี
วันหนึ่งพรานป่าคนหนึ่งเที่ยวล่าสัตว์จนไปถึงถิ่นที่นกยูงก็ได้เห็นนกยูงบนยอดเขา โดยบังเอิญเมื่อกลับถึงบ้านก็บอกลูกชายให้รู้ ต่อมาพระราชเทวีของพระเจ้าพาราณสีซึ่งพระนามว่าเขมาทรงมีสุบิน ก็คือฝันนั่นเอง ฝันไปว่านกยูงทองได้แสดงธรรมให้พระองค์ฟัง ครั้นตื่นบรรทม ก็ทูลพระสวามีให้ทรงทราบ แล้วพระนางก็ทูลบอกพระประสงค์จะฟังธรรมของนกยูงทองนั้น ก็คือฝันว่าได้ฟังธรรมก็เลยบอกมีความประสงค์จะฟังธรรมของนกยูงทอง พระราชาก็เลยถามเหล่าอำมาตย์ว่านกยูงทองมีอยู่จริงหรือ พระราชาชักสงสัยว่ามีนกยูงทองอยู่จริงหรือเปล่า อันนี้เป็นความฝันของพระมเหสีของตนเอง อำมาตย์ทูลตอบว่าพราหมณ์ก็คงทราบ จึงตรัสถามพราหมณ์ พวกพราหมณ์ก็รับรองว่าเคยได้ยินว่ามีนกยูงทองอยู่จริงแต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน พวกพรานป่าก็คงจะรู้ ก็คือไล่เบี้ยไปเรื่อยๆ พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกประชุมพรานป่าทั้งหลายเพื่อถามเรื่องนกยูงทอง ที่นี้บุตรชายของพรานป่าก็กราบทูลให้ทราบว่านกยูงทองมีอยู่จริงเพราะว่าพ่อของตนเองเคยเห็น อาศัยอยู่ที่ภูเขาทัณฑกหิรัญบรรพต
พระองค์จึงมีรับสั่งให้บุตรของนายพรานไปจับมาถวายให้เป็นๆ อย่าไปฆ่าเอาตัวเป็นๆ พรานนั้นก็เที่ยวไปในป่าเสาะแสวงหาถิ่นที่อยู่และที่ลงหาอาหาร คือว่านกยูงทองต้องลงมาหาอาหาร จนเจอแล้วก็วางบ่วงจับ ทีนี้ด้วยอนุภาพแห่งพระพุทธมนต์ที่นกยูงทองได้สวดทุกวันแม้ว่าจะ
เหยีบบ่วงที่นายพรานดักไว้ บ่วงมันก็ไม่คล้องขา นายพรานก็พยามดักใช้เวลาดักถึง ๗ ปี โดยไม่ได้กลับบ้านเลย ก็กลัวต้องพระราชอาญามีความผิด ก็ไม่สามารถจับได้เพราะแคล้วคลาด บ่วงมันไม่แล่นมั่ง มันไม่รัดมั่ง ในที่สุดนายพรานก็ถึงแก่ความตาย ก็คือถึงแก่กรรมอยู่กลางป่า คือจับไม่ได้สุดท้ายก็ตายอยู่กลางป่า
พระนางเขมาราชเทวี เมื่อไม่ได้ฟังธรรมจากนกยูงทองตามพระประสงค์ก็ตรอมใจสิ้นพระชนม์ ก็ตายตามไปเหมือนกัน พระเจ้าแผ่นดินทรงผูกอาฆาตว่าพระราชเทวีต้องสิ้นพระชนม์เพราะนกยูงทองตัวนี้ จึงมีรับสั่งให้จารึกในแผ่นทองว่า มีนกยูงทองตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนยอดเขาทัณฑกหิรัญบรรพต หากผู้ใดได้กินเนื้อของมัน ผู้นั้นจะมีอายุยืนไม่แก่แล้วก็ไม่ตาย แล้วก็ให้บรรจุใส่หีบทองเก็บไว้ ก็คือพระราชามีความอาฆาตนกยูงทองที่ทำให้พระราชเทวีตรอมใจตายเพราะไม่ได้ฟังธรรมจากนกยูงทองก็เลยเขียนจารึกแบบนี้เอาไว้
เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์แล้ว พระราชาองค์อื่นก็ครองราชย์สือต่อมา ก็ได้ทราบว่าจารึกบนแผ่นทอง ก็มีความประสงค์จะมีอายุยืน คือดันไปอ่านเข้าแล้วก็เกิดความเชื่อว่าถ้าได้กินเนื้อนกยูงทอง จะไม่แก่แล้วก็ไม่ตายดั่งในจารึก คืออ่านแล้วก็เชื่อเลยเชื่ออย่างที่ได้เห็น จึงรับสั่งให้พรานไปจับนกยูงตัวนั้น จนในที่สุดตัวเองก็ต้องมาทิ้งชีวิตอยู่กลางป่าเหมือนกับพรานคนก่อน เหตุการณ์มันก็เป็นอย่างนี้ ทำนองเดียวกันถึง ๖ แผ่นดิน คือมีพระเจ้าแผ่นดินมาแล้ว ๖ พระองค์ ก็ไม่สามารถทำอะไรนกยูงทองนั้นได้เพราะว่าแคล้วคลาด
พอครั้นมีถึงราชาองค์ที่ ๗ ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงรับสั่งให้พรานไปจับนกยูงตัวนั้นตามจารึกอีก นายพรานคนนั้นมีปัญญาหลักแหลม หมั่นออกไปสังเกตการณ์อยู่หลายวันก็รู้ว่า นกยูงตัวนี้ไม่ติดบ่วงเพราะร่ายมนต์ ก็สวดร่ายมนต์ทุกวันป้องกันตนเองก่อนออกหากิน จึงไม่มีใครสามารถจับได้ นายพรานก็คิดว่าหากสามารถจับได้ก่อนที่นกยูงจะร่ายมนต์น่าจะจับได้ นายพรานคนนี้ฉลาด อย่าให้ร่ายมนต์จับซะก่อนเลย เมื่อคิดดังนี้แล้วก็กลับเข้าไปในป่าไปจับนกยูงตัวเมียตัวหนึ่งมาเลี้ยงไว้จนเชื่อง ก็หัดให้ฟ้อนรำขับร้องจนชำนาญ ก็อุ้มนางนกยูงไปแต่เช้าตรู่ก่อนเวลาที่นกยูงทองจะร่ายมนต์ จึงปรักหลักดักบ่วงไว้แล้วก็ปล่อยนางนกยูงรำแพลนแล้วก็ส่งเสียงร้องรับอรุณอยู่ก้องป่า พอนกยูงทองได้ยินเสียงของนางนกยูงก็เกิดความกระสัน ก็คือว่าสัตว์ทั้งหลายเมื่อเป็นเพศผู้เมื่อไปเกิดเจอเพศเมียก็เกิดความกระสัน เพศเมียเจอเพศผู้ก็เป็นวิสัยของสัตว์ทั้งหลาย ก็เกิดความกระสับกระส่ายเร่าร้อนรัญจวนด้วยอำนาจกิเลสตัณหา ก็ไม่สามารถจะร่ายมนต์ได้ตามที่ทำทุกเช้า ก็บินถลาไปหานกยูงตัวเมีย ก็เลยไปติดบ่วงที่นายพรานดักไว้ นายพรานก็จับนกยูงไปถวายพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์เห็นรูปร่างก็พอพระทัย ก็คือว่าโปรดปรานมาก เพราะว่าขนเป็นสีทองก็เลยลืมเสวยเนื้อนกยูง ให้เตรียมที่ไว้ให้สำหรับนกยูงทอง ก็คือลืมจะกินเนื้อซะแล้วเพราะความงามของนกยูง
นกยูงก็ทูลถามพระราชาว่าที่พระองค์สั่งให้จับข้าพเจ้าก็เพราะเหตุอันใด พระราชก็ตรัสว่าได้ทราบมาว่าถ้าผู้ใดได้กินเนื้อของเจ้าท่านผู้นั้นจะไม่แก่และไม่ตายเราก็ปรารถนาจะกินเนื้อจะได้ไม่แก่แล้วก็ไม่ตาย นกยูงก็เลยกราบทูลไปว่า มหาราชาเจ้า ผู้ที่กินเนื้อของข้าพเจ้าแล้วไม่แก่ไม่ตาย แต่ตัวของข้าพเจ้าก็ต้องตาย ถูกแล้วเจ้าต้องตาย ถ้าเจ้าไม่ตายแล้วจะกินเนื้อได้อย่างไร นกยูงก็เลยกราบทูลไปอีกว่า เมื่อข้าพระองค์ยังจะต้องตายแล้วทำไมคนที่กินเนื้อของข้าพเจ้าแล้วจะไม่ตาย พระราชาก็ตรัสว่ามีจารึกบันทึกไว้ เจ้ามีขนสีทองผู้ใดกินเนื้อของเจ้าแล้วจะไม่แก่ไม่ตาย นกยูงทองก็กราบทูลเลยว่า มหาราชาที่ข้าพระองค์เกิดมามีขนสีทองไม่ใช่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุนะ มันมีเหตุให้เกิดในอดีตชาติข้าพระองค์เกิดเป็นเจ้าจักรพรรดิอยู่ในนครนี้แหละ ข้าพระองค์รักษาศีล ๕ เป็นนิจ แล้วชักชวนอาณาประชาราษฎร์ในพระราชอาณาจักรให้รักษาศีล เมื่อข้าพระองค์ตายไปจึงไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่จนสิ้นอายุภพนั้นแล้วก็เกิดมาเป็นนกยูงเพราะผลแห่งอกุศลกกรรมบางอย่างตามมาให้ผล ยังมีอกุศลกรรมอยู่ที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดเป็นนกยูงแล้วมีขนสีทอง ก็คือเป็นสัตว์เดรัจฉานก็จริงแต่ก็มีรูปร่างงดงามด้วยอานุภาพแห่งศีล ๕ ที่รักษาไว้แต่ชาติก่อน คือศีล ๕ ทำให้มีรูปกายงดงาม แต่ด้วยอกุศลบางอย่างก็เลยทำให้ไปเกิดเป็นเดรัจฉาน คือไปเกิดเป็นนกยูง
พระราชาก็เลยถามว่าถ้าเจ้าเคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิครองราชย์อยู่ในพระนครนี้ ก็ดังที่กล่าวนี้เราจะเชื่อได้อย่างไรจะมีใครเป็นพยาน นกยูงทองก็เลยกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อเป็นพระเจ้าจักรพรรดิครองราชย์อยู่ในนครนี้ ข้าพระองค์นั่งรถประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ สามารถเหาะไปในอากาศได้ รถคันนั้นข้าพระองค์ให้ฝังจมไว้ในสระโบกขรณี ก็คือว่าให้นำรถนี้ไปทิ้งไว้ในสระโบกขรณี ให้พระองค์ไปกู้รถคันนั้นขึ้นมาจะได้รู้ประจักษ์ความจริง จะได้เป็นสักขีพยาน พระราชาก็สั่งให้ไขน้ำออกจากสระ ปรากฎว่ามีรถจริงๆ มีรถที่ประดับประดา จึงเชื่อในคำพูดของนกยูงโพธิ์สัตว์นั้น พระโพธิ์สัตว์แสดงธรรมแด่พระราชาว่า นอกจากพระนิพพานแล้ว สิ่งทั้งหลายล้วนปรุงแต่งไม่มีความคงทนถาวร มีเกิดขึ้นแล้วได้เสื่อมไปตามธรรมชาติ แล้วก็ทูลขอให้พระองค์ตั้งอยู่ในศีล ๕ พระราชาเลื่อมใสมากจึงบูชาพระโพธิ์สัตว์ด้วยราชสมบัติ ด้วยการยกราชสมบัติให้ครอบครอง ส่วนพระโพธิ์สัตว์รับแล้วก็ถวายคืน อยู่อีก ๒-๓ วัน เมื่อถวายโอวาทให้พระราชาไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท ก็บินกลับไปสู่ทัณฑกหิรัญบรรพตอันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของตนเอง
ฉะนั้นคนเค้าก็เลยนิยมกันนะญาติโยมทั้งหลาย สำหรับคนที่เกิดวันอาทิตย์ก็ไปเปิดดูบทโมรปริตร ที่เล่ายาวหน่อยก็เพราะว่าจะได้เข้าใจว่ามันแคล้วคลาดปลอดภัยอย่างไร ก็เป็นเรื่องราวของนกยูงตนหนึ่งที่ได้สวดมนต์บทนี้ ทุกเช้า ทุกเย็น เช้าก็สวดอุเทตะยัญ จักขุมา เอกะราชา ตอนเย็นก็สวดอะเปตะยัญจักขุมา คือพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก สวดเพื่อความคลาดแคล้วปลอดภัย เป็นการเตือนสติตนเองเหมือนกันว่าอย่าไปประมาท
ส่วนชาดกนิทานที่ได้กล่าวข้างตนนี้ ก็เพื่อที่จะให้ผู้ที่ได้อ่านได้ฟังตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เพราะว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงนั้น มันไม่เที่ยงเมื่อเกิดมาแล้วมันก็ต้องมีแก่ มีแก่บางครั้งก็มีเจ็บบ้าง สุดท้ายก็ถึงแก่ความตาย อันเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา ก็ขึ้นชื่อว่าเราไม่ประมาทดีกว่าเมื่อไม่ประมาทแล้วจะได้หมั่นประกอบอยู่ในบุญกุศลทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการกระทำทานก็ดี การตั้งอยู่ในศีลก็ดี การเจริญจิตภาวนาก็ดี อันนี้ก็เป็นชาดกสำหรับคนที่เกิดวันอาทิตย์ ก็ให้เจริญพระพุทธมนต์บทนี้คือโมรปริตร ส่วนชาดกที่เล่าขยายความก็เพื่อจะได้น้อมให้ผู้ฟังได้เกิดความเข้าใจว่าความเป็นมาของพระพุทธมนต์เป็นอย่างไร
ส่วนในวันอาทิตย์ต่อๆไปนั้นก็จะมาเล่าสำหรับคนที่เกิดวันอื่นๆบ้าง ไม่ว่าจะเกิดวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ว่าจะสวดมนต์ พระพุทธมนต์บทไหนดีจึงเข้ากับวันของตัวเอง อย่างที่กล่าวเอาไว้แล้วนั่นว่าจริงๆ มันสวดได้ทุกบท บางคนก็อยากจะให้มีบทเฉพาะของตัวเอง เพราะนิสัยของมนุษย์ชอบอะไรที่เฉพาะๆมันรู้สึกอุ่นใจ สบายใจ แต่ถ้าเราไม่ได้อะไรมากก็สวดมันทุกบทนั่นแหละ ยิ่งสวดเยอะยิ่งดี แต่สวดแล้วก็ต้องมีกำลังใจตั้งมั่นด้วย ก็คือสวดด้วยความตั้งอกตั้งใจนั่นเอง ถ้าสักแต่ว่าสวดจะไม่ค่อยได้อะไร ก็เหมือนเราทำงานไม่มีความปราณีต ไม่มีความตั้งใจ งานนั้นก็จะไม่เกิดความสำเร็จ ถึงเกิดความสำเร็จก็ไม่ดีไม่งาม ก็คือมีความบกพร่องนั่นเองแต่ถ้าเราตั้งใจงานนั้นก็จะสำเร็จด้วยสิ่งที่ดีงามก็เหมือนการสวดมนต์เจริญพระพุทธมนต์ทำค่ำเช้าขอให้มีความตั้งใจ บุญและราศีจะได้เกิดกับคนที่ประพฤติ ตัวผู้ปฎิบัติ อีกนัยหนึ่งก็ทำให้จิตผู้สวดมนต์เกิดความสงบใจ เป็นคนไม่ลุ่มร้อนง่าย ไม่วุ่นวายง่าย อย่างน้อยๆในยามที่สวดมนต์ จิตเราก็ไม่ฟุ้งซ่าน อกุศลเกิดได้ยากเป็นยามที่บุญราศีเกิด เป็นยามที่กุศลราศีเกิด เป็นสิ่งดีสิ่งงามสำหรับผู้ประพฤติปฏิบัติ
ฉนั้นก็อนุโมทานกับญาติโยมทุกท่านที่อยากจะสวดมนต์แล้วก็กระทำได้ทุกเช้าทุกเย็น เค้าเรียกว่าเป็นสมบัติที่เก็บสะสมไว้ในจิตใจ ซึ่งอันนี้ใครก็มากระทำให้เราไม่ได้ เราก็ต้องแสวงทำด้วยตัวเอง คราวนี้อาตมาก็คงจะขอบรรยายขยายความ อำนาจของพระพุทธมนต์ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์เพียงเท่านี้ สัปดาห์ต่อไปก็จะได้ขยายในวันอื่นๆ ในวันนี้ก็ขอเอวังด้วยประการฉะนี้ ขอความสุขสวัสดิ์ดีโดยที่อาตมาภาพขออาราธนาอ้างอิงคุณพระศรีรัตนตรัย คุณแห่งบิดา มารดา คุณแห่งครูบาอาจารย์ คุณแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงมาปกป้องผองภัยท่านผู้ฟังทุกท่านให้เกิดความดีงาม มีแต่ความสุขความเจริญ โรคาพยาธิจงมลายไป สุขภาพกาย สุขภาพใจ จงสมบูรณ์ ปรารถนาสิ่งใดสิ่งนั้นพลันสำเร็จทุกประการ ทุกๆท่านเทอญ